17.12.12

ความหมายของดอกไม้ชนิดต่าง ๆ

ความหมายของดอกไม้ชนิดต่าง ๆ

กุหลาบ
กุหลาบแดงและขาวรวมกัน : ดอกไม้สำหรับสื่อความหมายให้รู้ว่า "สองเราเป็นหนึ่งเดียวกัน"

กุหลาบสีชมพู : ดอกไม้สำหรับความงดงามและความอ่อนโยน

กุหลาบสีเหลือง : เป็นดอกไม้ที่บอกเป็นนัยว่า "ขอเป็นชู้ทางใจ" หรือ หมายถึงความสุข สนุกสนาน ร่าเริง กุหลาบสีส้ม : ดอกไม้เพื่อบอกความในใจถึงความรักและสิ่งที่ผ่านมา กุหลาบแดงเข้ม(สีเหมือนไวน์แดง) แทนคำว่า "เธอช่างสวยเหลือเกิน"

กุหลาบสีขาว : ดอกไม้สำหรับบอกว่า "ฉันรักเธอด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน"

กุหลาบตูมที่มีทั้งใบและหนาม : เป็นดอกไม้ที่บอกให้รู้ว่า "แม้ฉันจะวิตกอยู่บ้าง แต่รู้ว่าเธอคงไม่ปฎิเสธ" กุหลาบตูมที่ริดใบทิ้งหมด : ดอกไม้ที่แสดงให้เห็นว่าผู้ให้รู้สึกทุกสิ่งทุกอย่าน่ากลัวไปหมด

กุหลาบตูมที่ริดหนามทิ้งหมด : ดอกไม้ที่แสดงให้เห็นถึงความหวังที่มีอย่างเปี่ยมล้น

กุหลาบตูมสีแดง : ดอกไม้ที่แสดงให้เห็นถึงความรักที่ไร้เดียงสา "รักของฉันเพิ่งแรกแย้ม และอ่อนต่อโลก" กุหลาบตูมสีขาว : ดอกไม้ที่แสดงถึงความมีเสน่ห์น่าหลงใหล ไร้เดียงสาในเรื่องความรัก

กุหลาบบานหนึ่งดอก และกุหลาบตูม 2 ดอก : เป็นดอกไม้ที่บอกว่า "นี่คือความรักที่ฉันแอบซ่อนไว้" กุหลาบบานสีแดง : ดอกไม้สำหรับบอกให้รู้ว่า "ฉันรักเธอเข้าแล้ว"

กุหลาบสีแดงที่โรยแล้ว : เป็นดอกไม้ที่เขาอยากจะบอกให้คุณรู้ว่า "ความรักของเรานั้นจบลงแล้ว"

กุหลาบสีขาวที่โรยแล้ว : ดอกไม้สำหรับแทนความหมาย "เสน่ห์ของเธอมันจืดจางลงแล้ว"

กุหลาบไร้หนาม : เป็นดอกไม้ที่สื่อให้รู้ว่า "เธอช่างมีเสน่ห์น่าหลงไหลแม้ยามแรกพบ"

กุหลาบดอกเดียว : ดอกไม้สำหรับแทนความหมาย "รักฉันแม้เรียบง่าย แต่ก็มั่นคงกับเธอผู้เดียว"

คาร์เนชั่น

คาร์เนชั่น สีแดง : เป็นดอกไม้ที่สื่อว่า "เห็นใจในความรักของฉันที่มีต่อเธอบ้าง" เป็นลูกออดอ้อนให้ใจอ่อน สีชมพูหวาน : เป็นดอกไม้ที่สื่อว่า "ความรักของฉันกำลังจะผลิบาน โปรดถนอมหัวใจรักฉันด้วย"

คาร์เนชั่นลาย : ดอกไม้สำหรับปฏิเสธใครที่มาตามตื้อ ต้องรีบส่งไปเพราะมันหมายถึง "ไม่ได้คิดอะไรด้วยเลย"

คาร์เนชั่นที่ถูกดึงกลีบดอกออกไป : เป็นดอกไม้สำหรับการปฏิเสธความรักโดยสิ้นเชิง ประมาณว่า "ฉันไม่เคยคิดรักเธอเลย"


ทิวลิป  เป็นดอกไม้ที่หมายถึงการตกหลุมรักหัวปักหัวปำ ความรักที่ฉาบฉวยและจึดจางอย่างรวดเร็ว

ทิวลิปสีแดง : ดอกไม้ที่สื่อว่า "อยากให้โลกรู้ว่าฉันรักเธอ"

ทิวลิปสีเหลือง : ดอกไม้ที่สื่อว่า มีหางเสียงเศร้าๆ ว่า "ฉันหมดหวังในรักเธอแล้วหรือไร"

ทิวลิปหลากสีในช่อเดียวกัน : ดอกไม้ที่หมายความว่า "ดวงตาแสนสวยของเธอทำให้ฉันคลั่งไคล้"

ดอกลิลลี่  เป็นดอกไม้ที่แทนความรักอ่อนหวาน บริสุทธิ์ อ่อนไหวต่อโลก "เธอเป็นรักแรกของฉันนะ คนดี"

ดอกไอวี่  เป็นดอกไม้ที่เป็นตัวแทนแห่งความซื่อสัตย์และมั่นคงในรัก แต่ถ้าหนุ่มคนไหนต้องการขอสาวแต่งงานลองส่งดอก ไอวี่แทนใจก็ได้ เพราะอีกนัยหนึ่ง หมายถึงการแต่งงาน


ดอกมะลิ  ดอกไม้ที่เป็นตัวแทนความบริสุทธิ์ ผุดผ่อง และอ่อนโยน มะลิ แทนความหมาย "เธอคือผู้ที่ฉันสุดรักสุดบูชา" หรือ "เธอคือดอกฟ้าผู้สง่างามและสูงส่ง"

กล้วยไม้  เป็นดอกไม้ที่ไว้บอกภาษารักว่า "ฉันไม่อาจห้ามใจให้คิดถึงเธอได้"
ดอกหญ้าคือดอกไม้ที่ใช้สื่อความรักที่เปี่ยมด้วยอิสระ แทนความว่า "ฉันรักเธอ แต่ขอเธออย่าผูกมัดฉันเลยนะคนดี"

ดอกบัว  เป็นดอกไม้แทนความสงบและความบริสุทธิ์ใจ จึงเป็น "รักด้วยความศรัทธาและชื่นชม"

แกลดิโอลัส  เป็นดอกไม้ที่สมควรส่งให้สาวที่เข้มแข็ง และมีความมั่นใจ เพราะแทนคำว่า "เธอช่างเป็นสาวมั่นจริงๆนะ" และยังเหมาะที่จะใช้เป็นดอกไม้แสดงความยินดี แทนคำว่า "ยินดีด้วยสำหรับความสำเร็จ ครั้งนี้"

ทานตะวัน  ดอกไม้ที่แทนสัญญลักษณ์ของความเชื่อมั่น ความมั่นคง รักเดียวใจเดียว และมีนัยถึงศิลปะที่งดงาม ถ้าได้รับดอกทานตะวันเหมือนได้รับสารว่า "แม้เธอจะเย่อหยิ่งเพียงไร แต่สักวันฉันจะชนะใจเธอ" และยังหมายถึง "รักของฉันมั่นคงและภักดีต่อเธอเสมอ ดุจดั่งทานตะวันที่ไม่เคยหันมองผู้ใดนอกจากดวงอาทิตย์"

แดฟโฟดิล   เป็นดอกไม้ที่เหมาะสำหรับความรักของเพื่อนแท้ คนรู้ใจ เพราะส่งแดฟโฟดิลเหมือนบอกว่า "น้ำใจไมตรี และความเอื้ออาทรของเธอ สมแลัวกับที่เป็นเพื่อนรักที่แสนดีของฉัน"

ซ่อนกลิ่น  ดอกไม้สำหรับคนที่มีรักซ้อนซ่อนใจ ไม่อาจเปิดเผย "ฉันแอบรักเธออยู่นะ" หรือ "ฉันหยิ่งเกินกว่าจะเอ่ยปากบอกรักกับเธอก่อน"

Lilac ดอกไม้สำหรับการส่งให้กับความรักครั้งแรก

 

ที่มา : lucky-flower.com/tips.html

15.12.12

เสาวรสขาว,Passiflora, Water Lemon

เสาวรสขาว


ชื่อวิทยาศาสร์ Passiflora Laurifolia Linn.
ตระกูล PASSIFLORACEAE
ชื่อสามัญ Passiflora, Water Lemon.

ลักษณะทั่วไป

ต้น เสวรสเป็นไม้เถาเลื้อยขนาดกลาง เถามีสีเขียวเข้มและเมื่อแก่เถาจะเป็นสีน้ำตาล มีมือเกาะออกตามซอกใบ

ใบ เป็นไม้ใบเดี่ยว ใบออกสลับกัน ใบดก ใบสีเขียวเป็นมัน เป็นรูปขอบชนาด ปลาย ใบและโคนใบแหลม ก้านใบค่อนข้างยาก และตรงปลายก้านใบมีต่อมอยู่ 1 คู่
ดอก เป็นไม้ดอกที่มีขนาดใหญ่ เป็ฯดอกเดี่ยว ลักษณะดอกจะห้อยคว่ำลงคล้ายโคมไฟ ดอกมีสีม่วง หรือม่วงขาว มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ และกลีบดอกอีก 5 กลีบ กลีบดอกรูปขนาน และมีรยางค์เป็นเส้นฝอยสีม่วงจำนวนมาก มีก้านเกสรจะแยกออกเป็นเกสรตัวผู้ 5 อัน และเกสรตัวเมียอีก 3 อัน ดอกมีกลิ่นหอม

ฤดูกาลออกดอก
ออกดอกตลอดปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนจะให้ดอกดกมาก

การปลูก
เนื่องจากเสาวรสเป็ฯไม้กลางแจ้งเขตรอ้น ฉะนั้นจึงควรที่จะเลือกสถานที่หรือบริเวณที่ปลูกให้เหมาะสม คือจะต้องไม่ปลูกในบริเวณที่ร่วมเงาของไม้อื่นมาบดบัง ควรปลูกในที่ที่สามารถได้รับแสงแดดอจ่างเพียงพอ โดยการนำเอาต้นกล้าที่ได้จากการเพาะเมล็ด หรือกิ่งที่ได้จากการฃำหรือการทับกิ่งมาปลูกดิน โดยขุดหลุมปลูกให้มีความกว้างลึกประมาณ 1 x 1 ฟุต แล้วรองก้นหลุม ด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักก็ได้ประมาณ 1/4 ของหลุม กลบดินเล็กน้อย แล้ววางกิ่งปลูกหรือต้นกล้าลงกลางหลุม แล้วกลบดินพอแน่น รดน้ำให้ชุ่ม

การดูแลรักษา
แสง ต้องการแสงแดดในการสังเคาะห์แสงและการเจริญเติบโตมากพอสมควร
น้ำ ต้องการน้ำปานกลาง ในระยะแรกปลูกควรรดน้ำวันละ 2 ครั้ง ให้ชุ่ม แต่เมื่อต้นโตแล้วให้รดน้ำเพียงวันละ 1 ครั้ง ในตอนเช้าก็พอ
ดิน ชอบขึ้นในดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำได้ดี
ปุ๋ย ไม่ต้องการปุ๋ยมากนัก เพียงแต่ให้ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในบริเวณโคนต้นปีละ 2 ครั้งแต่ ต้องพรวนดินก่อนใส่ทุกครั้งเสมอ

โรคและแมลง
เสาวรสเป็นไม้ที่ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรคและแมลงรบกวนถึงขั้นเสียหาย

การขยายพันธุ์
การขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด การปักชำ และการทาบกิ่ง



13.12.12

กุหลาบสีเหลือง

 


กุหลาบสีเหลือง 

เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น อาจเป็นเพราะว่าสีเหลืองของดอกทำให้แปลงดอกไม้ดูมีชีวิตชีวาและสวยงามขึ้น  กุหลาบสีเหลืองมีอยู่หลายเฉดสี  เหลืองเข้ม เหลืองอ่อน เหลืองปนขาว เหลืองอมส้ม ที่แน่ๆสวยทุกเฉดสี กุหลาบเหลืองหมายถึงความร่าเริง ความสุข และมิตรภาพ

Midas Touch กุหลาบตัดดอก Hybrid Tea  ดอกสีเหลืองเข้ม  ดอกใหญ่ รูปทรงดอกดี
 ก้านดอกแข็ง เหมาะสำหรับเป็นกุหลาบตัดดอก  ต้นสูงประมาณ 4-5 ฟุต  แข็งแรง ต้านทานโรคได้ดี


Amber Queen  กุหลาบพวง Floribunda สีเหลืองส้ม  รูปทรงดอกดี  ให้ดอกดก  ออกดอกเป็นพวงสวยงาม  กลิ่นหอม ใบสีเขียวเข้มตัดกับดอก ต้านทานโรคได้ดี

Hybrid Tea เป็นกุหลาบที่ได้รับความนิยมมาก เนื่องจากดอกสีแดงสด ให้ดอกดก  รูปทรงดอกดี   จำนวนกลีบดอกพอเหมาะ   กิ่งยาวตรง  แข็งแรง  หนามน้อย ใบค่อนข้างหนา  ดอกบานเต็มที่ขนาด 10-12 ซ.ม. กลิ่นหอมอ่อนๆ

 

 

8.12.12

กุหลาบชมพู

 

 

กุหลาบชมพู 


เป็นสีที่นิยมปลูกกันมาก นอกจากจะให้ความโรแมนติกและสวยงาม น่ารักแล้ว กุหลาบสีชมพูยังเข้ากันได้ดีกับดอกไม้สีอื่นๆในแปลงดอกไม้ของเราอีกด้วย ในสีชมพูของกุหลาบนี้ยังมีหลายเฉดสี เช่น ชมพูเข้ม ชมพูอ่อน ชมพูอมส้ม ชมพูอมขาว เป็นต้น  การจะเลือกปลูกกุหลาบสีชมพูแบบไหนก็แล้วแต่รสนิยมของผู้ปลูก ในที่นี้จะขอนำตัวอย่างพันธุ์กุหลาบสีชมพูสวยๆมาให้ดูกันเพื่ออาจทำให้ผู้ปลูกหน้าใหม่เกิดแรงบันดาลใจ และหามาปลูกกันบ้าง


Queen Elizabeth  เป็นกุหลาบประเภท Grandiflora  ที่ให้ดอกเดี่ยวคล้ายกับ Hybrid Tea 

ดอกดก  สวยงาม  ลำต้น แข็งแรง   ถ้ามีการตัดแต่งกิ่งบ้างจะเป็นพุ่มสวยงาม    เติบโตได้ดีในทุกสภาพอากาศ แต่ถ้าอากาศร้อนดอกอาจเล็กลง 


Bonica   กุหลาบพุ่ม Shrub เป็นพันธุ์ที่เหมาะกับสวนหรือแปลงดอกไม้เล็กๆ  ลำต้นเป็นพุ่มสูงประมาณ 2-4 ฟุต แข็งแรง  ทนทานต่อทั้งสภาพอากาศร้อนและอากาศหนาว  ปลูกและดูแลรักษาง่าย  เจริญเติบโตได้ดี  ดอกดก  ออกดอกเป็นช่อ  สีสวย

7.11.12

พรรณไม้ชอบแดด

พรรณไม้ชอบแดด


สภาพอากาศที่ร้อนอับอ้าวอย่างบ้านเรา บางครั้งเลือกปลูกต้นไม้อะไรก็ต้องคัดสรรกันสักหน่อย
ยิ่งถ้าไม่ค่อยมีเวล่ำเวลาในการดูแลใส่ใจสักเท่าไหร่ แต่อย่างได้พรรณไม้สีสวยบานแฉ่ง สร้างชีวิตชีวาและความรื่นรม ก็ควรพิจารณาต้นไม้ที่ปลูกง่าย เลี้ยงง่าย ที่สำคัญรับกับสภาพแดดตลอดวันได้ดี และพรรณไม้เหล่านี้คือพันธุ์ที่เราเห็นชอบว่าทนแดด ดูแลรักษาง่าย และหาซื้อง่าย

ชวนชม  ไม้พุ่มความสูงประมาณ 1-3 เมตร มีถิ่นกำเนิดในแอฟริกา ตะวันออก เป็นพืชที่ทนความแล้งได้ดี จนได้ชื่อว่า "กุหลาบแห่งทะเลทราย" บานบุรี ไม้พุ่มพึ่งเลื้อยมีหลากหลายพันธุ์ตามสีของดอก

บานบุรี  ที่มีกลิ่นหอมคือ บานบุรีแสด และบานบุรีม่วง

มาร์กาเร็ต  ไม้ดอกจากอเมริกาเหนือ มีหลากสี แต่ละมีมีขนาดต้นต่างกัน นิยมตัดมาจัดดอกไม้ ดอกออกได้เรื่อยตลอดปี

หงอนไก่  ไม้ดอกล้มลุก สูงประมาณ 20-90 ซม. ดอกเป็นแบบช่อกระจุก กลีบอัดแน่นคล้ายหงอนไก่ มีหลายสี หรือสองสีในดอกเดียวกัน

ดาวเรือง   ไม้ดอกล้มลุก มีทั้งพันธุ์เตี้ยและพันธุ์สูง มีทั้งแบบสีเหลือง เหลืองทอง และส้ม สร้างความสดใสสะดุดตาดีหากปลูกในสวนหรือริมทางเดิน

เปลวสุริยัน  ไม้เลื้อยขนาดเล็ก ดอกมีสีส้ม เลื้อยได้ไกล เหมาะกับปลูกขึ้นซุ้มหรือข้างรั้วเพื่อความสวยงามชวนมอง

พุดสามสี   ไม้พุ่มสูงประมาณ 1-1.5 เมตร ที่มีกลิ่นหอมเย็น ลักษณะดอกเป็นสีฟ้าอมม่วง ที่ค่อยๆ จางเป็นสีขาวในภายหลัง


ที่มา : นิตยสาร Livingetc ฉบับภาษาไทย

11.10.12

พวงชมพู ,Coral Vine, Mexican Creeper

 

 

พวงชมพู

ชื่อวิทยาศาสร์ Antigonon Leptopus. Hook. & Arn.

ตระกูล POLYGONACEAE

ชื่อสามัญ  Coral Vine, Mexican Creeper.

Chain of love, Confederate Vine,Corallita, Hearts on a Chain, Honolulu Creeper Mountan, Rose, Pink Vine.

ลักษณะทั่วไป

ต้น พวงชมพูเป็นพืชล้มลุก เป็นไม้เถาเลื้อยที่มีเถาขนาดเล็ก มีมือเกาะสำหรับเกาะพันต้นไม้ หรือกิ่งอื่นเพื่อการทรงตัว และสามารถเลื้อยพันสิ่งต่าง ๆ ไปได้ไกลประมาณ 40 ฟุต ลำต้น หรือเถาจะเป็นสีน้ำตาลเข้ม ใบพวงชมพูเป็นไม้ใบเดี่ยว ดอกออกสลับกันไปตามข้อต้น ลักษณะใบเป็นรูปไข่ หรือมนรี ค่อนข้างจะเป็นทรงสามเหลี่ยม ปลายใบแหลม โคนใบมน เว้าเป็นรูปหัวใจ ขอบใบจักมนไม่แหลมแผ่นใบเป็นคลื่นไม่เรียบ ใบมีความยาว ประมาณ 7 เซนติเมตร และมีความกว้างประมาณ 7 เซนติเมตร

 ดอก พวงชมพูออกดอกเป็นช่อรวมกันเป็นกลุ่มตามซอกใบ ง่ามกิ่งและปลายยอด ส่วนปลายยอดสุด จะเป็นมือเกาะ ดอกสีชมพูสดใสในกลุ่ม ดอกจะประกอบด้วยช่อดอก เรียงดอกสลับทางติดกันอยู่อย่างหนาแน่น ลักษณะรูปร่างของดอกมีทรงคล้ายผอบรูปหัวใจ ดอกมีขนาดเล็ก คือ สักประมาณ 1 เซนติเมตร ดอกพวงชมพู มีกลีบเลี้ยง และกลีบดอกที่คล้ายกัน ดอกกลุ่มหนึ่ง ๆ ของพวงชมพู อาจจะชูเป็นช่อตั้ง หรืออาจจะห้อยเป้ฯพวงระย้าลงก็ได้ ช่อดอกจะมีความยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร

ฤดูกาลออกดอก
พวงชมพูเป็นไม้ที่ออกดอกตลอดปี แต่มักจะมีดอกดกมากในฤดูแล้ง คือในระหว่างเดือนมีนาคม-เมษายนของทุกปี

การปลูก

วิธีการปลูกพวงชมพู โดยการนำเอากิ่งที่ได้จากปักชำมาปลูกลงดิน เนื่องจากกิ่งที่ได้จากการปักชำ จะทำให้ได้ต้นกล้าที่เร็วกว่าการเพาะเมล็ด การปลูกก็ให้ปลูกลงดิน เพราะไม้เถาเลื้อยบางชนิดนั้นไม่เหมาะที่จะปลูกลงกระถางสวย ๆ ได้ ควรปลูกพวงชมพูบริเวณริมกำแพง หรือริมรั้ว หรืออาจจะปลูกเป็นซุ้มประตู หรือทำซุ้มหลังคา กระเช้านั่งเล่นในวนภายในบ้านก็จะดูสวยงามดี เพราะเมื่อยามที่พวงชมพูออกดอกบานสะพรั่ง มีดอกห้อยเป็นระย้าลงมา ก็จะทำให้ได้ภาพที่น่าชมมากทีเดียว

การดูแลรักษา

แสง พวงชมพูเป็นไม้กลางแจ้งที่มีความต้องการแสงแดดมาก เพราะฉะนั้นควรปลูกพวงชมพูในบริเวณที่มีแสงแดดส่องได้ถึง หรือต้นพวงชมพูสามารถได้รับแสงแดดอย่างเต็มที่

น้ำ พวงชมพูมีความต้องการน้ำปานกลาง การรดน้ำควรรดน้ำวันละ 1-2 ครั้ง โดยการดน้ำแต่ละครั้ง จะต้องรดให้ชุ่ม แต่ต้องไม่แฉะมากนัก เพราะหากรดน้ำจนดินแฉะมาก พืชดูดน้ำไปใช้ไม่ทัน อาจจะทำให้รากพืชเน่าและตายได้ในที่สุด

ดิน พวงชมพูเป็นไม้ที่ปลูกง่าย เจริญเติบโตได้ดีในดินแทบทุกชนิด ที่มีความชื้นอยู่พอสมควร ปุ๋ย ควรให้ปุ๋ยหมัก และปุ๋ยไนโตรเจน เพื่อเสริมให้พงชมพูเจริญงอกงามได้ดีขึ้น และให้ดอกที่สวยงาม

โรคและแมลง ไม่มีโรคและแมลงรบกวนจนถึงขั้นเสียหาย

การขยายพันธุ์ ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด การตอน และการปักชำกิ่ง


8.10.12

กุหลาบหลากหลายพันธุ์

กุหลาบมีมากมายหลากหลายพันธุ์พร้อมจะให้เลือกปลูก ซึ่งแต่ละพันธุ์มีทั้งข้อดีข้อด้อยแตกต่างกันๆไป  แต่ส่วนมากแล้วผู้ปลูกหน้าใหม่มักจะเลือกพันธุ์ที่มีสีสวยไว้ก่อน  ดังนั้นการเลือกพันธุ์ตามลักษณะสีของดอกจึงเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งสำหรับผู้คิดจะเริ่มปลูกกุหลาบ

single color rose  คือกุหลาบที่สีของกลีบดอกมีสีเดียว  ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้าหรือด้านหลังของดอกและทุกๆกลีบมีสีเหมือนกัน

Multi-color rose  คือกุหลาบที่สีของกลีบดอกเปลี่ยนไปตามอายุการบานของดอก  ในช่วงหนึ่งจะมีหลายสีเพราะดอกบานไม่พร้อมกัน ส่วนมากจะเป็นกุหลาบพวง เช่น พันธุ์ Sambra หรือ Charleston

Bi-color rose  คือกุหลาบที่สีของกลีบดอกมี 2 สี โดยกลีบด้านในเป็นสีหนึ่ง ด้านนอกเป็นอีกสีหนึ่ง เช่น พันธุ์ Forty Niner

Blend-color rose  คือกุหลาบที่สีของกลีบดอกด้านในมีมากกว่า 2 สีขึ้นไป เช่น พันธุ์ Monte Carlo

Srtiped color rose  คือกุหลาบที่กลีบดอกในแต่ละกลีบมีสีมากกว่า 2 สีขึ้นไป ส่วนใหญ่มักเกิดเป็นสีสลับกันเป็นเส้นตามความยาวของกลีบดอก เช่น พันธุ์ Candy Stripe


 

27.9.12

วิธีการปลูกพืชในที่ร้อนแล้งดินแข็ง

วิธีการปลูกพืชในที่ร้อนแล้งดินแข็ง

Plantation in hot Air and hard soil

การปลูกพืชในที่แห้งแล้งแบบภาคอีสานที่เป็นดินทรายดินชั้นบนแข็งมาก เนื่องจากความชื้นน้อยประกอบกับภาวะโลกร้อนขึ้นทุกปี อุณหภูมิสูงขึ้น จนทำให้ต้นไม้ที่เราปลูกใหม่ๆ ต้องตายไปหรือไม่ก็เลี้ยงไม่โต สมัยก่อนไม่ต้องรดน้ำมาก ไม่ต้องต่อท่อน้ำหยด แต่เดี๋ยวนี้ต้องใช้น้ำหยดต่อท่อเป็นเรื่องเป็นราว

วิธีการปลูกพืชในที่ร้อนแล้งดินแข็งการเตรียมความพร้อมของพืช

1.ชนิดต้นไม้

เลือกชนิดต้นไม้ที่ทนแล้งโดยการสำรวจพื้นที่ว่าชาวบ้านปลูกอะไรแล้วใบยังเขียวดีในช่วงฤดูแล้ง โดยไม่ต้องดูแลมากซึ่งมักจะพบว่าต้นยูคาลิปตัส สะเดา มันสำปะหลัง มะฮอกกานี ยังเขียวอยู่ และลองสังเกตดูว่าไม้ป่าหรือไม้อะไรที่โตได้ดี ในช่วงแล้งจัดๆ ซึ่งอาจพบว่ามีกระถิน ปีบ นุ่น ตะคร่ำ แสลงพัน เถาหญ้านาง มะรุม ส่วนไม้ปลูกที่ต้องดูแลหน่อยเต่ดูงามดีในฤดูแล้งก็มีลำใย

2.ต้นและใบ

ใบอ่อนจัดมักทนแดดไม่ไหว ใบต้องแก่พอสมควร นอกจากนี้ก่อนการออกปลูกควรฝึกซ้อมออกแดดจัดและลดการรดน้ำ จนเหลือรดน้ำสัปดาห์ละครั้งยังอยู่ได้ทั้งที่อยู่ในถุงที่จำกัด การฝึกออกแดดนั้นต้นที่อยู่ได้จะอดทนพอที่จะไปบุกต่อแต่บางต้นที่อ่อนแอก็จะตายไปบ้าง เราควรคัดเลือกเมล็ดพันธุ์โดยการปลูกด้วยเมล็ดแล้วดึงต้นที่ไม่แข็งแรงออกไป เหลือแต่ต้นที่แข็งแรงเวลาปลูก การดูแลจะน้อยลงเพราะต้นไม้มีความอดทนสูงมาก

3.ถุงและดินถุง

สมัยก่อนนิยมใช้ดินดำผสมขี้เถ้า ปุ๋ยคอก ขุ่ยมะพร้าว ทำเป็นถุงเพาะชำ เดี๋ยวนี้นิยมใช้ขี้เถ้าแกลบอย่างเดียวใส่ในถุงเพาะชำซึ่งสะดวกดีและมักใช้ถุงขนาดเล็กๆ อีกด้วยคุณสมบัติของขี้เถ้าแกลบในถุงเพาะชำที่ดีคือ เรื่องความดำ รากงอกดี ระบายน้ำแล้วไม่แฉะข้อเสียคือขี้เถ้าแกลบแห้งเร็วเวลาเอาไปปลูกมักแห้งกรอบเร็ว อีกทั้งเวลาแห้งหน่อยเมื่อต้องเอาถุงออกจากต้นกล้าไม้มักแตกรุ่ย กระเทือนถึงรากตัดกำลังต้นไม้ในการต่อสู้ทำให้อัตราการรอดตายน้อย เพราะรากกระเทือนและแห้งเร็ว

ทางแก้ไขคือ ต้องเทน้ำใส่ถุงเพาะชำให้มากๆ เปิดกรีดเฉพาะก้นถุง ด้านข้างใช้กรีดเป็นทางยาวประคองลงหลุม วิธีนี้ไม่ค่อยจะสะดวกแต่การเหลือถุงด้านข้างไว้ทำให้ก้อนดินรอบต้นไม้ไม่ขาดขณะลมโยกต้น อีกวิธีหนึ่งโดยการเปลี่ยนถุงให้ใหญ่ขึ้นเปลี่ยนดินเป็นดินร่วนผสมปุ๋ยคอกและขี้เถ้าแกลบเศษหญ้าฟางเล็กๆ

(ฟางสับ) แล้วเอาถุงเล็กทั้งถุงใส่ลงในถุงใหญ่เลี้ยงในเรือนเพาะชำจนแข็งแรงก่อน แล้วมีรากยึดดินทั่วถุง เทคนิคการกรีดถุงบีบถุงให้แน่นให้ดินหลวมถุงหากแห้งไปไม่จับตัวให้ใส่น้ำก่อน จับถุงมือซ้ายเอายอดออกจากตัวเอามีดกรีดถุงตามยาวจนถึงก้นถุง จับยอดเข้าหาตัวเอารอยกรีดคว่ำดึงถุดำออก โดยจับที่ขอบถุงดำระวังไม่ให้ดินแตกวางมือทอดลงในหลุมแล้วเอาดินกลบดินถุงที่เขาใส่ถุงเล็กๆ เพื่อให้สะดวกในการขายและขนส่ง หากเขาเพาะชำเองจะใช้ถุงใหญ่ทีเดียวโดยไม่ต้องเปลี่ยนถุงคนขายมักใส่ขี้เถ้าแกลบ หากเราทำเองควรผสมดินทีเดียวใส่ถุงใหญ่มีดินร่วนดำดีๆ ไปหามาผสมปุ๋ยคอกผสมเถ้าแกลบผสมใบไม้แห้งเล็กน้อยและดินเบา (ไดอะตอมไมต์) เพื่อช่วยจมน้ำ หัดดูดินดำดีๆ ให้เป็นจะมีลักษณะร่วนซุยไม่จับตัวหญ้าขึ้นงามเอามาป้อนถุงเพาะชำต้นอ่อน หากดินจับตัวให้ผสมขี้เถ้าแกลบและซากใบไม้กิ่งไม้แห้งหรือซากกิ่งไม้

4.ราก

ระบบรากที่แข็งแรงย่อมต่อสู้กับความแห้งแล้งได้ดี ต้นไม้ที่โตขึ้นเรื่อยๆ แล้วไม่นำไปปลูกจะต้องมีการเปลี่ยนถุงอยู่บ่อยๆ ทำให้ระบบรากขดเป็นวงๆ จากวงเล็กเป็นวงใหญ่ตามขนาดถุง วิธีแก้คือ ใช้ถุงยาวขึ้น รีบปลูกอย่าค้างนาน บางแห่งนิยมใช้เมล็ดแบบถั่วงอกแล้วไปเตรียมหลุมปลูกในที่ดินเลยรากก็จะตรงต้นยูคาลิปตัสกิ่งชำก็จะไม่มีรากแก้วแต่แข็งแรงดี เนื่องจากเป็นพืชเติบโตเร็ว ทนทาน ต้นไม้ไม่มีรากแก้วก็ไม่ต้องเสียเงินใช้รถแบ็คโฮมาขุดตอในภายหลังซึ่งจะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นมากหลักการเวลาปลูกต้นไม้คือ ต้องพยายามไม่ให้รากกระเทือนเลย ควรยกถุงเพาะชำย้ายที่ก่อนอย่าพึ่งรีบปลูก หากรากที่ออกนอกถุงลงดินถูกดึงขาดจะทำให้ต้นเฉา ถ้าจะเลี้ยงต่อให้ฟื้นต้องฝึกออกแดดก่อนนำไปปลูก เวลากรีดถุงเพาะชำเอาพลาสติกออกก่อนปลูกระวังอย่าให้รากขาด โดยอาจเปิดเฉพาะกันถุงด้านข้างใช้วิธีกรีดตามยาวให้รากแทงออกได้ การกดดินให้แน่นรอบต้นเพื่อพยุงต้นอย่าเหยียบแบบรูดให้ใช้กดข้างๆไกลออกไปในแนว 45 องศา จากต้น จงประคองรากให้ดีก่อนปลูก หากยกถุงรากขาดควรอนุบาลให้ดีก่อน เมื่อพอตั้งตัวได้ค่อยประคองลงหลุมอย่าให้สะเทือนมิเช่นนั้นต้นไม้จะสู้แดดไม่ได้การเตรียมความพร้อมของดินสำหรับการปลูก

5.ดินในพื้นที่และสภาพอากาศ

ดินทีมีปัญหาในที่ร้อนแล้งดังนี้

5.1 ดินทรายแน่นเปลือกดินแข็งมาก เป็นดินทรายเม็ดละเอียดมี % ดินเหนียวชั้นบนแข็งมาก หน้าแล้งต้องใช้อีเตอร์ขุด ใช้จอบขุดจะไม่เข้า ความแข็งจะอยู่ในช่วง 20 ซม.แรก หากรากอยู่ในชั้นเปลือกแข็งจะโตไม่ไหวเลยนิยมใช้รถไถพรวน สาเหตุเกิดจากดินถูกรถวิ่งทับ ไม่เคยถูกไถ ถูกเปิดหน้าดิน ถูกแดดแผดเผาจนแห้งกรอบ หรือถูกสารเคมีมานาน ดินประเภทนี้เวลาปลูกมันสำปะหลังแล้วยังต้องใช้รถไถขุดออก ถอนด้วยแรงคนหรือคานงัดไม่ได้

5.2 ดินทรายปนชั้นหินมาก มีก้อนหินโตๆ วางสลับอยู่ทั่วไปมักเป็นพื้นที่เชิงเขาของภูเขาหินทรายตามภาคอีสาน วิธีการปลูกนั้นจะใช้รถไถไม่ได้ วางแนวลำบากเพราะตัวหลุมอาจตรงกับหินก้อนโต เทคนิคการปลูกอาจต้องแทรกสลับไปตามดินระหว่างหินล้อเลียนธรรมชาติ เลือกพืชพันธุ์ให้เหมาะ ดินประเภทนี้สังเกตดูว่าต้นไม้เดิมๆ ต้นมีขนาดโตแค่ไหนก็แคระแกร็นแสดงว่าเป็นได้เพียงป่าแคระ หากมีต้นไม้ใหญ่ขนาดคนโอบอยู่ได้แสดงว่าดินยังดีมีความหวัง

5.3 ดินร่วนทรายบนที่ราบ และอาจมีเกลือเค็มขึ้นมา อย่างนี้ทั้งแล้งทั้งร้อนทั้งเค็ม ต้องเลือกพืชที่ทนเค็มและปรับปรุงสายพันธุ์ที่สามารถปรับตัวได้แล้วเน้นพันธุ์ท้องถิ่น

5.4 อื่นๆ สำหรับสภาพอากาศนั้นต้องสังเกตุดูตามฤดูกาลต่างๆ ซึ่งเดี๋ยวนี้ดูดินฟ้าอากาศยากให้เทียบกับปีที่แล้ว แต่ละถิ่นฝนมาไม่เหมือนกันบางทีมา 2 ช่วง คือ ช่วง เมษยน พฤษภาคม และช่วสิงหาคม กันยายน หรือต้นเข้าพรรษา และปลายออกพรรษา ปริมาณน้ำฝนก็ไม่เท่ากัน บางครั้งฝนตกไม่ทั่วฟ้าน้ำเป็นปัจจัยสำคัญที่ไหนน้ำดีชาวไร่จะมีเศรษฐกิจดี ต้นไม้งาม คนน่าตาสดใส ทายได้เลยว่าดินดีน้ำดี หากต้นไม้แคระแกรน คนหน้าเกรียมๆ ดูเหี้ยมๆ บ้านไม่ค่อยเป็นระเบียบ เดาได้เลยว่าดินแย่น้ำน้อย “น้ำเป็นปัจจัยแห่งเศรษฐกิจ” ทางแก้สำหรับที่น้ำน้อยคือ ควรจะเลือกเวลาปลูกต้นไม้ตอนดินชุ่มเต็มที่ในฝนหนักแรกเพื่อให้ต้นไม้รากติดก่อนฝนแล้ง ซึ่งควรจะเตรียมหลุมเตรียมพื้นที่เลย เวลาปลูกจะสั้น ปลูกวันสองวันก็เสร็จ อีกอย่างควรมีการหาน้ำซับหรือเจาะน้ำบาดาลมมาช่วยการระบายลม สังเกตว่าที่ใดระบายอากาศดี ต้นไม้อื่นๆ จะเติบโตเร็วด้วย การทำไร่ การทำสวนต้องคิดถึงการออกแบบช่องทางให้ลมเดินด้วย หากทึบๆ แน่นๆ สังเกตดูมะม่วงไม่เคยออกลูกจะออกเฉพาะตรงที่ลมเข้าถึงเท่านั้น การโปร่งอาจต้องมีการทำช่องว่างใต้โคนต้นและระหว่างในแต่ละต้นด้วย จากต้นใหญ่ไล่ลงมาต้นเล็กๆ

หน้าผาความลาดชันที่แดดส่องทั้งวันจะร้อนมาก ในขณะที่บางแห่งมีร่มเงาแดดของภูเขาบัง พืชก็จะเติบโตได้ง่ายกว่าการปลูกบนที่ร้อน จะต้องวัดดูอุณหภูและความชื้นว่า เพียงพอ พอดีหรือเปล่า ถ้าร้อนมากก็ใช้วัสดุฉนวนมาปกป้อง

6.ขนาดหลุมปลูก

หากที่ดินดีขนาดหลุมกว้างเพียง 50x50x50x ซม. แต่ถ้าดินไม่ดีใช้ขนาดหลุม 100x100x100 ซม. ระยะห่างหลุมตามชนิดของต้นไม้ เช่น ต้นมะขามเทศ ต้นมะพร้าว ห่างประมาณ 7-8 เมตร ต้นผักหวานป่า 1.5x1.5 เมตร ขนาดหลุมควรออกแบบให้ต้นไม้โตได้สัก 2 ปี ก็จะดี 

7.ดินก้นหลุม

เพื่อล่อให้รากลงหากินลึกๆ จะได้พ้นเขตเปลือกดินแข็งทำได้ทนแล้งได้ดี น้ำที่อยู่ผิวดินระยะ 20 ซม. แรกจะแห้งมากในฤดูแล้งลึกลงไปหากมีน้ำซับซึมอยู่ จะทำให้ต้นไม้อยู่ได้ต้องทำให้ดินก้นหลุมร่วนและมีปุ๋ย โดยเอาปุ๋ยคอกรองก้นหลุมอาจผสมโพลีเมอร์ลงไปด้วยสักหนึ่งช้อนโต๊ะในกรณีที่ไม่ใส่น้ำ แต่ถ้าหากแช่น้ำพองแล้วก็ใส่สัก 1 ถ้วยแก้ว ใส่ฟางสั้นผสมสลับใส่ปุ๋ยพืชสดที่เอามาจากแถวๆ นั้นลงไป ใส่ขี้เถ้าแกลบอาจใช้จอบเอาดินในพื้นที่หลุม หรือดินขี้หลุมผสมลงไปสัก 10-20 % เพื่อให้ต้นไม้ชินต่อดินในพื้นที่ก่อนจะแทรกรากไปหากินจริงวางปุ๋ยคอกผสมฟาง ผสมดิน ผสมปุ๋ยพืชสด (ใบไม้ที่ย่อยง่าย) หรือโพลีเมอร์ เช่นนี้ลงจนเป็นฐานหลุม การผสมฟางจะทำให้ดินพองตัวไม่แน่น เพิ่มอินทรีย์สารในดิน การผสมขี้เถ้าแกลบจะช่วยทำให้ดินพรุนตัวไม่จับตัวกันแน่น ให้ปุ๋ยแก่ดินบ้าง

8.ดินกลบต้นไม้

ใช้ดินปากหลุมผสมฟางขี้เถ้าแกลบ กลบอัด เวลาอัดให้แน่นอย่าให้ไปกระเทือนรากหรือไปรูดราก จะทำให้ต้นไม้ทนแล้งไม่ได้ในช่วงแรกและตายในที่สุด

9.ระยะปากหลุม

ในที่แห้งแล้ง ต้องออกแบบให้หลุมลึก 10-20 ซม. อาจต้องทำร่องดักน้ำผิวดินให้ลงมาที่หลุมด้วย ร่องชักน้ำเข้าหลุมอาจเป็นแบบทางเดียว หรือสองทาง ขวาง ความลาดเอียงไว้หากที่ร้อนมากๆ อาจต้องขุดหลุมลึกๆ ไม่ต้องกว้างปลูกต้นไม้แล้วยอดยังอยู่ในหลุม (กรณีตัวเล็กๆ) หลุมดินจะทำให้ต้นไม้ทนต่ออุณหภูมิความร้อน ที่แดดแผดเผาได้และดักน้ำได้ดี

10.หลักไม้ยึดต้น

ปักหลักไม้เพื่อจับยึดลำต้นกล้าไม้ไม่ให้ปลิวตามลมและจะทำให้ลำต้นขึ้นตรง

11.ฟางรักษาความชื้น

ให้เอาฟางหรือหญ้าแห้งมารักษาความชื้นหน้าดินไม่ให้แสงแดดทำให้ความชื้นระเหย เอาฟางไปแช่น้ำก่อนสัก 1 ชั่วโมง ก่อนนำมาใช้ก็จะดีคลุมพื้นที่รอบๆ ต้นกล้าไม้รัศมีอย่างน้อย 1 ฟุต ในบางแห่งที่ดินพื้นที่ร้อนมากๆ อาจใช้ฟางปูตั้งแต่ก้นหลุมและข้างหลุมด้วย ตลอดจนการทำใส้ตะเกียงสี่ทิศให้ดึงน้ำจากปากหลุมลงรากต้นไม้ได้ง่าย

12.ตอกันคนเดินสดุด

ปักหลักแล้วสูงจากพื้นดินประมาณ 20-30 ซม. ใช้ประมาณ 3 หลักต่อต้นเผื่อๆ ไว้ห่างจากขอบหลุมประมาณ 10 ซม. กันคนเดินสดุดต้นอ่อนโดยพลั้งเผลอ หลังจากที่เรารื้อซุ้มคลุมต้นไม้ออก อาจปักตั้งแต่แรกเลยก็ได้ จะได้ไม่ยุ่งยากภายหลัง

13.น้ำรด

น้ำรดครั้งแรกนี่สำคัญเหมือนการเตรียมสเบียงกรังก่อนเดินทางไกล บางสูตรจะแนะนำให้เทน้ำจนเต็มหลุมครั้งแรกหลังจากปลูก หลังจากนั้นก็สัปดาห์ละครั้งเว้นแต่ฝนตก การรดน้ำควรรดช่วงแดดอ่อนโดยรดทั้งใบและต้นได้ก็จะดี หากจัดจังหวะดีๆ ปลูกแล้วไม่นานฝนตกจะลดขั้นตอนนี้ได้ การต่อท่อดำพีวีมาหยดก็จะช่วยได้มากหรือจะต่อสายยางมายืนรดเองก็ได้ เช่นกัน

14.ปลูกเพื่อนพืช

การปลูกพืชทนแล้งนำก่อนก็จะดีเพื่อเป็นร่มเงาอาจเป็นหญ้า ต้นพริก ต้นมะเขือ มันสำประหลัง พืชตระกูลถั่ว ละหุง ที่อาจมาปลูกพร้อมดิน หรือปลูกล่วงหน้าก่อนจนโตได้ที่ แล้วค่อยปลูกพืชหลักที่ต้องการ สังเกตว่าต้นมะพร้าวที่ปลูกแล้วใบเหี่ยวแห้งตาย อาจต้องปลูกเพื่อนพืชก่อน รักษาดินให้ชุ่มแล้วจึงค่อยปลูกพืชเศรษฐกิจบางไร่นิยมทำไร่ให้โล่งเตียนก่อนปลูกพืชเศรษฐกิจ ซึ่งต้นไม้จะร้อนมาก บางแห่งนิยมให้ต้นไม้อื่นขึ้นก่อนคลุมประปราย แล้วค่อยปลูกพืชเศษรฐกิจอย่างนี้พืชจะเย็นตัว เพื่อนพืชควรเป็นพืชที่เราทำลายได้ง่าย หากเป็นต้นกระถินจะปราบยากมากและเปลืองค่าใช้จ่าย วิธีการปราบต้นกระถินที่ได้ผลดีคือการตัดต้นให้ขาดแล้วใช้น้ำยาฆ่าตอยางพรา (การ์คอน) ผสมน้ำมันดีเซล เอาแปรงทาตอที่แผลสดๆ ต้นจะตายหรือใช้ยาฆ่าวัชพืชแรงๆ มาฉีดใส่หลังตัดต้นการเตรียมพื้นที่ก่อนปลูกพืชเศรษฐกิจนั้นบางแห่งใช้วิธีเผาป่า เอาลงหมดต้องการดูพื้นที่โล่งๆ ซึ่งดูเป็นไร่กว้างๆ วิธีนี้นิยมทั่วไปแต่เวลากู้มันสำประหลังหมดพื้นที่จะร้อนมากซึ่งไม่ดี ควรเลือกต้นไม้ใหญ่กระจายเป็นหย่อมๆ กระจายไปทั่ว แต่ยังคงรักษาแสงแดด อากาศ ระบายความชื้นกำลังพอดี บางจุดอาจเหลือให้หนาแน่นเป็นพื้นที่ก็ได้ อย่างนี้ถือว่าดี

15.ซุ้มโครงไม้ค้ำและวัสดุคลุม

ในการปลูกระยะแรกอาจใช้ไม้ค้ำสามเส้าปักรอบดิน มัดด้วยเชือกแล้วเอาวัสดุคลุมเพื่อบังแสงแดดการบังอาจใช้ฟางมัดคลุมก็ได้ หากมีทางมะพร้าว ใบหมากก็จะสะดวกเอามาทำซุ้มได้ดี การคลุมอาจคลุมด้วยพลาสติกมุ้งกันยุงมาปิดเย็บเป็นถุงครอบก็ได้ หรือใช้ถุงปุ๋ยพลาสติกมาปิดคลุม บางแห่งใช้เข่งไม้ไผ่ที่สานกันห่างๆ มาครอบก็ได้เพื่อป้องกันลม แสงแดด ไก่เป็ดที่จะมาจิก โครงไม้แพง่ายๆ อีกวิธีหนึ่งคือการใช้กิ่งกระถินปัก โดยไม่ริดกิ่งแล้วใช้ฟางโปรยคลุมตามกิ่ง ทั้งนี้ให้เปิดช่องตรงกลางให้ยอดต้นไม้โผล่ออกมาด้วย

ข้อแนะนำ              

- การปลูกพืชในที่ร้อนแล้งดินแข็งนั้น การดูแลต้นไม้ก่อนปลูกและหลังปลูกช่วง 2 ปี แรกนั้นมีความสำคัญมาก เพราะหลังจากนั้นก็ลดการดูแลลงได้ เหมือนการดูแลคนตั้งแต่อยู่ในครรภ์และขณะที่ยังเป็นทารกอยู่

- สิ่งที่ต้องสนใจมากในการปลูกพืชในที่แล้งร้อนก็คือ ความร้อนจากแสงแดด ความชื้น โดยต้องเน้นเรื่องการเตรียมหลุม การทำที่บังแสงแดด อาจต้องใช้วิธีพิเศษเข้าช่วย โดยการปลูกเพื่อนพืชก่อนล่วงหน้า

- ให้พยายามใช้สารเคมีมีพิษให้น้อยที่สุด ใช้เท่าที่จำเป็นจริงๆ ในกรณีที่หาวิธีการอื่นไม่ได้แล้ว

- พยายามไปดูคนในพื้นที่ว่าเขาปลูกโดยวิธีอะไร ทำไมจึงได้ผล พืชบางอย่างทนร้อนไม่เก่งต้องขึ้นอิงแอบเพื่อนพืช เช่น ต้นยอ ต้นผักหวานป่า เป็นต้น

 

15.9.12

การขยายพันธุ์กุหลาบที่นิยมใช้มี 3 วิธี คือ

การขยายพันธุ์กุหลาบที่นิยมใช้มี 3 วิธี คือ

1. การตัดชำ
วิธีการตัดชำที่นิยมทำอยู่ทั่วไปคือ เลือกกิ่งกุหลาบที่ไม่แก่และไม่อ่อน จนเกินไปนำมาตัดเป็นท่อนประมาณ 12-15 เซนติเมตร หรือ 1 คืบ รอยตัดต้อง อยู่ใต้ข้อพอดีแล้วตัดใบตรงโคนกิ่งออก จากนั้นเฉือนโคนทิ้ง แล้วจุ่มโคนกิ่งตัดชำนี้ ในฮอร์โมนเร่งราก เซ่น เซอราดิกส์ เบอร์ 2 (เพื่อช่วยเร่งให้ออกรากเร็วขึ้น) แล้วผึ่ง ให้แห้งนำไปปักชำในแปลงพ่นหมอกกลางแจ้ง ถ้าไม่มีแปลงพ่นหมอกก็ใช้เครื่องพ่นน้ำรดสนามหญ้าก็ได้แล้วให้น้ำเป็นระยะ ๆ ตามความจำเป็น โดยมีหลักว่าอย่า ให้ใบกุหลาบแห้ง กิ่งกุหลาบจะออกรากใน 12-15 วัน แล้วแต่พันธุ์ การชำกิ่งนี้ นิยมทำกันมากในปัจจุบันเพราะได้จำนวนต้นมากในระยะเวลาสั้นเสียค่าใช้จ่าย น้อยแต่กิ่งชำนี้เมื่อนำไปปลูกต้นจะโทรมเร็วภายใน 3- 4 ปี ซึ่งกุหลาบพันธุ์สีเหลือง และสีขาวมักจะออกรากยาก

2. การตอน
กิ่งที่ใช้ตอนมักมาจากกิ่งที่มีสภาพแตกต่างกันทั้งกิ่งอ่อนและกิ่งแก่ คละกันไปทำให้การเจริญเติบโตของต้นกุหลาบหลังลงแปลงปลูกในแปลงไม่สม่ำเสมอ ซึ่งการตอนนี้จะใช้เวลาในการเกิดรากนานประมาณ 4-7 สัปดาห์ ทั้งนี้ แล้วแต่ พันธุ์ที่จะใช้ตอน


3. การติดตา
วิธีการทำต้นกุหลาบติดตานี้ค่อนข้างยุ่งยากและต้องใช้เวลาในการทำ นานกว่า 2 วิธีแรกคือ ตั้งแต่เริ่มตัดชำต้นตอป่าจนถึงพันธุ์ดีทีนำไปติดนั้นออก ดอกแรกจะใช้เวลาประมาณ 5-6 เดือน โดยในขั้นแรกจะต้องตัดชำต้นตอป่า (ของกุหลาบป่า) ให้ออกรากและเลี้ยงต้นตอป่านั้นให้แตกยอดใหม่ยาวเกิน 1 ฟุต ขึ้นไป ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 3 เดือน (หลังตัดชำและออกราก) จากนั้นจึงนำ ตาพันธุ์ดีที่ต้องการไปติดตาที่บริเวณโคนของต้นตอป่า การติดตานี้จะต้องอาศัย ฝีมือและความชำนาญพอสมควรโดยจะใช้วิการติดตาแบบใดก็ได้ เช่น แบบตัวที เป็นต้น

วิธีติดตา วิธีติดตากุหลาบที่ได้ผลดีคือการติดตาแบบที่เรียกว่ารูปตัวที หรือ แบบโล่ มีวิธีทำดังนี้คือ

1. เลือกบริเวณที่จะติดตา ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะพยายามติดตาให้ต่ำที่สุด เท่าที่จะทำได้คือ ประมาณไม่เกิน 3 นิ้ว นับจากผิวดิน แล้วใช้กรรไกรหรือมีด ตัดหนามตรงบริเวณที่จะติดตาออกโดยรอบกิ่ง

2. ใช้ปลายมีดกรีดที่เปลือกเป็นรูปตัวที แล้วเผยอเปลือกตรงรอยกรีด ด้านบนให้เปิดออกเล็กน้อย

3. เฉือนตาเป็นรูปโล่ ให้ได้แผ่นตำยาวประมาณ 1 นิ้ว และให้แผ่นตานั้น มีเนื้อไม้ติดมาด้วยเพียงบางๆ ไม่ต้องแกะเนื้อไม้ติดมามาก ให้ลอกเนื้อไม้ออกอย่าง ระมัดระวังอย่าให้แผ่นตาโค้งงอหรือบอบช้ำ

4. นำแผ่นตาไปเสียบลงที่รอยกรีดของต้นตออย่างระมัดระวังอย่าให้แผ่นตาช้ำ โดยใช้มือซ้ายจับแผ่นตา (ตรงก้านใบ) ค่อย ๆ กดลงไปขณะเดียวกันมือขวา ก็ค่อยเปิดเปลือกช่วย แล้วพันด้วยพลาสติก
เพื่อให้ตาเจริญเติบโตเร็วขึ้น ควรปล่อยให้กิ่งใหม่เจริญเติบโตจนกระทั่ง กิ่งใหม่ยาวพอสมควรแล้วจึงตัดต้นตอที่อยู่เหนือกิ่งใหม่ออกทั้งหมด สำหรับ พลาสติก ที่ติดตาอยู่นั้นอาจจะปล่อยให้ผุหรือหลุดไปเองก็ได้ถ้าเห็นว่าแผ่นพลาสติกนั้นรัด ต้นเดิมแน่นเกินไปหรือไปขัดขวางการเจริญเติบโตของกิ่งใหม่ก็ให้แกะออก
ส่าหรับกิ่งที่แตกออกมาใหม่นี้ ควรมีไม้ผูกพยุงกิ่งไว้เสมอเพราะอาจจะ เกิดการฉีกขาดตรงรอยต่อได้ง่ายเนื่องจากรอยประสานยังไม่แข็งแรงนัก

ในกรณีที่การติดตานั้นไม่ได้ผล คือ แผ่นตาที่นำไปติดตานั้นเปลี่ยนเป็น สีน้ำตาลหรือสีดำให้รีบแกะแผ่นพลาสติกและแผ่นตานั้นออกแล้วติดตาใหม่ในด้าน ตรงข้ามกับของเดิม หากไม่ได้ผลอีกต้องเลี้ยงดูต้นตอนั้นจนกว่ารอยแผลจะเชื่อม ก้นดีแล้วจึงนำมาติดตาใหม่ได้
สำหรับการติดตาในกุหลาบแบบทรงต้นสูง (Standard) นั้นก็ทำเช่นเดียวกัน เพียงแต่ตำแหน่งที่ติดตาอยู่ในระดับสูงกว่าเท่านั้นเอง การติดตาจะติดที่ต้นตอหรือกิ่ง ขนาดใหญ่ที่แตกออกมาก็ได้

Red Rose





31.8.12

กุหลาบสีม่วง

กุหลาบสีม่วง


Blue Moon กุหลาบตัดดอก Hybrid Tea ดอกสีม่วง (ชมพูอมฟ้า)  กลิ่นหอมมาก  ใบขนาดกลางสีเขียวไม่เข้มแต่ค่อนข้างมัน ต้นสูงประมาณ 3-4 ฟุต กว้างประมาณ 2 ฟุต เหมาะที่จะปลูกในแปลงหรือเป็นไม้กระถาง ข้อเสียคือต้องระวังโรคเชื้อรา


Burgundy Ice กุหลาบพวง Floribunda  ดอกสีม่วง กลิ่นหอม  ดอกเป็นพวง ใบขนาดเล็ก  ต้นสูงประมาณ 3 ฟุต พุ่มกว้างประมาณ 2-3 ฟุต นิยมปลูกประดับในแปลง ออกดอกประมาณเดือนพฤษภาคม-กันยายน


Westerland Rose  กุหลาบเลื้อย  climbing  สีส้มอ่อน กลีบดอกซ้อน  ขอบกลีบมีรอยหยัก  ดอกมีกลิ่นหอม  ลำต้นตั้งตรง แข็งแรง ต้นสูงได้ถึง 8 ฟุต ใบนุ่มสีเขียวเข้ม อาจเกิดโรคราได้ง่าย  นิยมปลูกให้เลื้อยไปตามรั้วบ้าน


Tropicana  กุหลาบตัดดอก Hybrid Tea    ดอกสีส้ม หรือสีแสด ดอกขนาดใหญ่ รูปทรงดอกสวย  กลีบดอกประมาณ 30-35 กลีบ  เป็นกุหลาบที่ชอบแดด  ไม่ชอบน้ำมาก  ออกดอกตลอดฤดู  ดอกมีกลิ่นหอมมาก ต้นสูงตั้งแต่ 3-6 ฟุต กว้างประมาณ 3 ฟุต ใบใหญ่
สีเขียวเข้มเป็นมัน   ต้านทานโรคได้น้อยโดยเฉพาะโรคราน้ำค้าง

20.8.12

การตัดแต่งต้นไม้

การตัดแต่งต้นไม้ คือ การตัดส่วนที่ไม่ต้องการออกเพื่อให้ได้รูปทรงตามที่ต้องการ และการตัดแต่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับไม้ต้นและไม้พุ่ม

สิ่งที่ควรตัดเป็นสิ่งแรกของการตัดแต่ง

  • กิ่งที่แห้งตาย

  • กิ่งที่อ่อนแอ ฉีกขาด

  • กิ่งที่เป็นโรค

  • กิ่งที่เจริญผิดปกติ

  • กิ่งที่แทงเข้าภายในพุ่มต้น

การตัดกิ่งเหล่านี้ จะทำให้ทรงพุ่งโปร่ง แสงสว่าง ลม จะพัดผ่านเข้าไปในทรงพุ่มได้สะดวก กรณีไม้ยืนต้น การตัดแต่งจะช่วยควบคุมการเจริญเติบโต ช่วยเพิ่มผลผลิต ส่วนไม้พุ่ม จะทำให้รูปทรงพุ่มต้นสมดุล

การตัดแต่งไม้พุ่ม จะเริ่มตั้งแต่การเด็ดยอด เพื่อให้ไม้พุ่มแตกตาข้าง ทำให้การเจริญเติบโตทางยอดลดลง หลังจากนั้นอาจจะมีการขลิบ แต่ง ลิดใบและยอดที่แทงออกมาจากทรงพุ่ม กรณีที่ทรงพุ่มแน่นเกิดไปควรจะตัดแต่งกิ่งออกบ้าง โดยตัดให้ชิดพื้นดิน ส่วนไม้พุ่มที่แทงหน่อออกมาจะต้องตัด ให้ลึกลงไปใต้ระดับดิน

ส่วนไม้พุ่มที่ต้องการให้มีการเจริญเติบโตใหม่ เนื่องจากมีอายุมาก ให้ตัดส่วนของไม้นั้น เหลือเพียงหนึ่งในสามของความสูงเดิม ดูแลรักษาให้เจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งไม้พุ่มให้เล็กลง จะช่วยให้มีการแตกกิ่งยอดใหม่ ทําให้ไม้พุ่มนั้นมีดอกมากขึ้น

การตัดแต่งแต่ละครั้ง ควรใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับงานนั้น ๆ เครื่องมือจะต้องคมและใช้ให้ถูกต้อง นอกจากนี้หากรอยแผลที่ถูกตัดแต่งมีขนาดใหญ่จะต้องใช้ยาทาแผล เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าไปทำลาย

รู้อย่างนี้แล้ว ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปตัดแต่งต้นไม้กันดูได้.

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์