20.8.09

การตัดแต่งต้นไม้

การตัดแต่งต้นไม้ คือ การตัดส่วนที่ไม่ต้องการออกเพื่อให้ได้รูปทรงตามที่ต้องการ และการตัดแต่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับไม้ต้นและไม้พุ่ม

สิ่งที่ควรตัดเป็นสิ่งแรกของการตัดแต่ง
  • กิ่งที่แห้งตาย
  • กิ่งที่อ่อนแอ ฉีกขาด
  • กิ่งที่เป็นโรค
  • กิ่งที่เจริญผิดปกติ
  • กิ่งที่แทงเข้าภายในพุ่มต้น


การตัดกิ่งเหล่านี้ จะทำให้ทรงพุ่งโปร่ง แสงสว่าง ลม จะพัดผ่านเข้าไปในทรงพุ่มได้สะดวก กรณีไม้ยืนต้น การตัดแต่งจะช่วยควบคุมการเจริญเติบโต ช่วยเพิ่มผลผลิต ส่วนไม้พุ่ม จะทำให้รูปทรงพุ่มต้นสมดุล

การตัดแต่งไม้พุ่ม จะเริ่มตั้งแต่การเด็ดยอด เพื่อให้ไม้พุ่มแตกตาข้าง ทำให้การเจริญเติบโตทางยอดลดลง หลังจากนั้นอาจจะมีการขลิบ แต่ง ลิดใบและยอดที่แทงออกมาจากทรงพุ่ม กรณีที่ทรงพุ่มแน่นเกิดไปควรจะตัดแต่งกิ่งออกบ้าง โดยตัดให้ชิดพื้นดิน ส่วนไม้พุ่มที่แทงหน่อออกมาจะต้องตัด ให้ลึกลงไปใต้ระดับดิน

ส่วนไม้พุ่มที่ต้องการให้มีการเจริญเติบโตใหม่ เนื่องจากมีอายุมาก ให้ตัดส่วนของไม้นั้น เหลือเพียงหนึ่งในสามของความสูงเดิม ดูแลรักษาให้เจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งไม้พุ่มให้เล็กลง จะช่วยให้มีการแตกกิ่งยอดใหม่ ทําให้ไม้พุ่มนั้นมีดอกมากขึ้น

การตัดแต่งแต่ละครั้ง ควรใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับงานนั้น ๆ เครื่องมือจะต้องคมและใช้ให้ถูกต้อง นอกจากนี้หากรอยแผลที่ถูกตัดแต่งมีขนาดใหญ่จะต้องใช้ยาทาแผล เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าไปทำลาย

รู้อย่างนี้แล้ว ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปตัดแต่งต้นไม้กันดูได้.

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

13.5.09

โนรา,Hiptage beghalensis

โนรา

ชื่อวิทยาศาสร์ Hiptage beghalensis. (Linn) Kurz.
ตระกูล MALPIGHIACEAE
ชื่อสามัญ -

ลักษณะทั่วไป

ต้น โนรา เป็นไม้เลื้อยเถาใหญ่มีเนื้อแข็ง และสามารถเลื้อยไปได้ไกลและรวดเร็วด้วย แต่ถ้าปลูกโนราไว้กลางแจ้งก็อาจจะกลายเป็นไม้พุ่มได้หรือ ก็จะขดเป็นพุ่มเถาโนามีสีเขียว กลมและเกลี้ยง
ใบ เป็นไม้ใบเดี่ยว ใบจะออกเป็นคู่ตรงข้ามกัน ใบสีเขียวเข้มลักษณะใบเป็นรูปขอบขนาน รูปไข่หรือ รูปไข่กลับ ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมนและมีต่อมนูนอยู่ 2 ต่อม ใบอ่อนจะเป็นสีเทา ใบมีความกว้างประมาณ 10 เซนติเมตร และยาวประมาณ 18 เซนติเมตร
ดอก ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง ช่อดอกยาวประมาณ 15 เซนติเมตร และจะมีขน ดอกมีสีขาว หรือสีขาวอมชมพูเรื่อ ๆ มีกลิ่นหอมคล้ายดอกส้มโอ ดอกจะบานอยู่ได้ประมาณ 3-4 วัน ก็จะร่วงและจะมีดอกใหม่ทะยอยบายอยู่เรื่อย ๆ ดอกจะมีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ กลีบหนึ่งมีต่อมนูน มีกลีบดอก 5 กลีบ และแต่ละกลีบจะมีขนาดไม่เท่ากัน มีกลีบใหญ่อยู่ในสุดและจะมีสีเลืองแต้ม กลีบดอกมักจะยู่ยี่ ขอบกลีบดอกจักหรือเนินเป็นครุยมีเกสรต้วผู้ 10 อัน และมี 1 อัน ที่มีขนาดใหญ่กว่าอันอื่น ๆ

ฤดูกาลออกดอก
โนราจะออกดอกประมาณเดือนธันวาคม ถึง กุมภาพันธ์

การปลูก
โดยการนำเอาต้นกล้าที่ได้จากการเพาะเมล็ด กิ่งที่ได้จากการปักชำหรือการตอนมาปลูกลงดิน โดยให้ขุด หลุมกว้างลึกประมาณ 1 x 1 ฟุต รองก้นหลุมด้วยใบไม้ผุ หรือปุ๋ยหมักกลบดินเล้กน้อยแล้วจึงวางกิ่งปักชำ หรือต้นกล้าลงกลางหลุม แล้วกลบดินพอมิด รดน้ำให้ชุ่ม

การดูแลรักษา
แสง โนราเป็นไม้ในร่ม หรือร่มรำไร มีความต้องการแสงน้อยน้ำ ต้องการน้ำมาก ควรรดน้ำให้ดินมีความชื้นอยู่ อย่างสม่ำเสมอ
ดิน เจริญงอกงามได้ดีในดินแทบทุกชนิดไม่เลือกดินปลูกแต่ถ้าเป็นดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำได้ดีก็จะดียิ่งขึ้น
ปุ๋ย ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ใส่บริเวณโคนต้นปีละ 2-3 ครั้ง

โรคและแมลง
ไม่พบโรคและแมลงที่สำคัญ

การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด และการตอนกิ่ง

9.5.09

Refreshing Green

Refreshing Green

สีเขียวของดอกไม้ใบหญ้ารายล้อมอยู่รอบบ้านส่งกลิ่นหอมและความสดชื่นให้กับทุกคนอย่างถ้วนทั่ว
ไม่เพียงเท่านั้น สีเขียวยังช่วยจรุงโลกในการลดภาวะโลกร้อน อันเกิดจากปรากฎการณ์เรือนกระจกอีกด้วย เพราะช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากมายตลอดอายุขัยของดอกไม้ดอกนั้นหรือต้นไม้ต้นนั้น ดังนั้นทุกครั้งที่เด็ดดึงดอกไม้หรือใบไม้สีเขียวมาตกแต่งบ้านเพื่อเติมสีสันแห่งความสดใสและร่าเริง เท่ากับได้หยิบยื่นความช่วยเหลือด้านสิ่งแวดล้อมเล็กๆ น้อยๆ ให้กับโลกโดยทางอ้อม ในเวลาเดียวกันดอกไม้สีเขียวกระจ่างตาแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอันอับอุ่น ยังสามารถนำกลับมาจัดแต่งเพื่อประดับบ้านใหม่ได้อีกครั้ง นั่นหมายถึงการรีไซเคิลดอกไม้ เพื่อรณรงค์ให้เห็นคุณค่าของสิ่งเก่าซึ่งยังมีความหมายไม่เสื่อมคลาย
จากสีเขียวขาวพราวสะพรั่งบนดอกใบของกุหลาบ เอมี่ และหญ้าจีน ถูกบรรจงร้อยเรียงปักในเหยือกขาวสว่างตา วางซ้อนบนถาดกระเบื้องเคลือบสีเดียวกันอย่างชวนมอง ก่อนเสียบแซมดอกไม้แห้งดอกเล็กๆ เช่น ดอกซุ่ยชิงฮัว ผักโขม ใบไอวี่ เข้าไปตามช่องของลวดลายฉลุอย่างมีศิลปะ เมื่อนำมาจัดวางในห้องนั่งเล่น ยิ่งทำให้ดอกไม้ทั้งมวลดูโดดเด่นและมีเสน่ห์เพิ่มขึ้น

ในห้องรับแขกข้างหน้าต่าง ลองจัดวางดอกบัวสีขาวพับกลีบสวยงามลงในแจกันประดิษฐ์จากหยวกกล้วยทรงสี่เหลี่ยมสูง แล้วนำกิ่งไม้และฝักบัวแห้งสีน้ำตาลเข้มมาจัดไขว้ซ้อนกันไปมาอย่างมีจังหวะ เสมือนการนำเอาความต่างของกาลเวลาระหว่างดอกไม้สดกับดอกไม้แห้งมาผสมผสานกัน เพื่อเยผให้เห็นถึงความงามอันไร้ขอบเขต ส่วนแจกันประดิษฐ์ทรงสี่เหลี่ยมเล็ก จัดดอกเอมี่ใส่เข้าไปแทนกิ่งไม้แห้ง เพื่อลดน้ำหนักของกิ่งก้านในแจกันสี่เหลี่ยมสูง ขณะที่ดอกบัวดอกใหญ่บนใบดาโอ๊กแห้ง จัดวางไว้บนพื้นด้านข้าง ยิ่งพิศยิ่งคล้ายใบบัวเหนือน้ำที่มีดอกบัวผุดขึ้นมาเบ่งบาน ช่างงามสงบและอบอุ่น โดยเฉพาะยามต้องแสงธรรมชาติผ่านผ้าม่านเข้ามาอย่างบางเบา

อีกมุมหนึ่งของห้องรับแขก อาจนำสีเขียวขาวของดอกคาร่าก้านยาวมาเสียบใส่เข้าไปในกาบจากแห้งที่มีอยู่ทั่วไป ดอกคาร่าจะทำให้กาบจากแห้งที่ดูไร้ค่ามีความงามสง่าน่ามองอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อจัดไว้ในแก้วแชมเปญทรงยาวรี และเฉิดฉายอยู่ด้านข้างกระจกแกะลายหรู สำหรับถาดแก้วเจียระไน ลองนำกิ่งไม้แห้งรูปทรงแปลกตาวางคู่กับลูกตีนเป็ดแห้ง แซมด้วยหญ้าจีนสีเขียวตองอ่อน ดอกกุหลาบ และเอมี่นับร้อยดอกในหนึ่งช่อ จะช่วยให้มุมนั้นของห้องรับแขกมีความสมบูรณ์ลงตัว สร้างความประทับใจแก่ผู้มาเยือน
สีเขียวยังนำความสดชื่นมามอบให้ได้อีกครั้งแม้เดินทางผ่านกาลเวลาจนกลายเป็นสีน้ำตาล เฉกเช่นไม้โมกเนื้ออ่อนม้วนเป็นกรวยและวางเรียงเป็นลูกบอลกลมๆ ขนาดน้อยใหญ่ตามใจชอบ แต่งแต้มด้วยดอกไม้เล็กๆ อย่างดอกเอมี่ หญ้าจีน และผีเสื้อขาว ตามช่องกรวยโมก หากนำมาจัดวางสลับสับเปลี่ยนกันบนใบดาโอ๊กแห้งสีน้ำตาลทองเข้ม ก็จะทำให้รู้สึกถึงบรรยากาศของการฟื้นคืนมามีชีวิตชีวิตาใหม่ของดอกไม้ต้นไม้นานาพันธุ์

นอกจากนั้นจุกตาลซึ่งแห้งและไม่มีใครใยดี สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์อีกครั้งด้วยการทำเป็นจานรองดอกกุหลาบขาว สีน้ำตาลทองเข้มจะส่งให้สีขาวแจ่มชัดอยู่บนกึ่งกลางของถาดกาบกล้วย เป็นความงามบนความอบอุ่นและสงบทางใจยิ่งนัก

ความเขียวสดชื่นฟื้นโลกได้เสมอ จากเขียวขาวพราวตา แม้กาลเวลาทำให้แปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มที่ดูเหมือนไร้คุณค่า แต่เมื่อนำกลับมาใช้สอยใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นก็เป็นการทำให้สีเขียวฟื้นคืนความสดชื่นได้ไม่รู้จบ

Flower Tips
สีเขียวของดอกไม้ต้นไม้จะช่วยสร้างบรรยากาศของความสดชื่นรื่นรมย์ให้กับบ้านได้อย่างดี เนื่องจากเป็นสีของพฤกษชาติ การเกิดใหม่และความสมดุล นอกจากนั้นยังเป็นสีที่ช่วยเสริมส่งสีน้ำตาล ซึ่งเป็นสีของความอบอุ่น

สีเขียวของดอกไม้ต้นไม้สดเก็บเอาไว้นาน สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อีกครั้ง เช่น หยวกกล้วยนำมาทำเป็นแจกัน จุกตาล ฝักบัว หรือใบดาโอ๊กก็เช่นเดียวกัน นำมาใช้เป็นส่วนประกอบในการจัดดอกไม้เพื่อสร้างความสวยงามได้ใหม่อย่างไม่รู้เบื่อ

ดอกไม้สีเขียวสดนำมาจัดผสมผสานกับดอกไม้แห้งชนิดต่างๆ สร้างความงามอบอุ่นได้อีกรูปแบบหนึ่ง ไม่สิ้นเปลืองงบประมาณเป็นการนำของเก่ามาใช้ใหม่ และยังช่วยลดภาวะโลกร้อนด้วย

ที่มา: นิตยสาร Livingetc ฉบับภาษาไทย

6.5.09

บานบุรีสีม่วง ,Purple Allamanda

บานบุรีสีม่วง

ชื่อวิทยาศาสร์ Allamanda 1violacea Gard. & Field.

ตระกูล APOCYNACEAE

ชื่อสามัญ ฺPurple Allamanda

ลักษณะทั่วไป

ต้น บานบุรีม่วงหรือบานบุรีสีม่วงเป็นไม้เถากึ่งต้นกึ่งเลื้อยหรืไม้รอเลี้ยเถาหรือลำต้นมีขนาด เล็กแข็งและเหนียวทุกส่วนของเถาหรือลำต้นจะมียางสีขาวเถาของบานบุรีสีม่วงเลื้อยไปได้ ไม่ไกลอย่างบานบุรีเหลือง บานบุรีม่วงจะเลื้อยไปได้ไกลประมาณ 10 ฟุต เท่านั้นเองใบ เป็นไม้ใบเดี่ยว ออกใบเป็นกลุ่ม ๆ ละ 3-4 ใบ ตามข้อต้น ใบสีเขียวแต่ไม่ถึงกับเขียวเข้ม รูปใบรีหรือรูปขอบขนาน ปลายใบและโคนใบแหลมก้านใบสั้น ขอบใบเรียบเกลี้ยงเนื้อใบอ่อน และจะปกคลุมไปด้วยขนแจ็งที่ละเอียด เมื่อจับดูแล้วจะรู้สึกระคายมือ ใบก้างประมาณ 2.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 10 เซนติเมตรดอก ออกดอกเป็นช่อสั้น ๆ ตามซอกใบและปลายกิ่ง หรือตามข้อต้น ช่อละ 5-6 ดอก ดอก มีรูปทรง กรวยปลายดอกบานออกเป็น 5 กลีบ กลีบภายในดอกมีเกสรตัวผู้ 5 อัน ดอก มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ
ฃฤดูกาลออกดอก


บานบุรีมักจะให้ดอกได้ตลอดทั้งปีแต่จะให้ดอกดกในช่วงระหว่างเดือนมิถูนายน - สิงหาคม

การปลูก

บานบุรีม่วงเป็นไม้ที่มีการเจริญเติบโตค่อนข้างช้าและมักจะแตกกิ่งหรือแขนงใหม่ได้ดีในช่วงฤดูฝนเท่านั้น ปลูกโดยนำกิ่งที่ได้จากการปักชำ การตอน หรือการเพาะเมล็ดมาปลูกลงดิน โดยชุดหลุมกล้างลึกประมาณ 1 x 1 ฟุต หรือกว่านั้นเล้กน้อย แล้วรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยหมัก 1/4 ของหลุมกลบดินเล็กน้อย แล้ววางกิ่งปักชำพร้อมกับดินที่ติดมากับกิ่งปักชำลงกลางหลุม กลบดินพอแน่น รดน้ำใช้ชุ่ม

การดูแลรักษา
แสง บานบุรีม่วงเป็นไม้กลางแจ้ง ที่ชอบแสงแดดมากพอสมควรน้ำ ควรรดน้ำวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น อย่าปล่อยให้ดินที่บริเวณโคนต้นแห้ง หากดินโคนต้นแห้งสนิทเมื่อใด ต้นก็จะตายทันที
ดิน บานบุรีม่วง ชอบขึ้นในดินที่มีความชุ่มชื้น ควรหาไม้คลุมดินที่มีระบบรากตื้น ๆ มาปลูกไว้ตามโคนต้น เพื่อรักษาความชื้นในดินบริเวณโคนต้น ให้กับบานบุรีในช่วงฤดูแล้งได้
ปุ๋ย ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก รองก้นหลุมตอนปลูก เมื่อต้นโนแล้วให้พรวนดินบริเวณโคนต้น แล้วใส่ปุ๋ยหมักปีละ 2 ครั้ง

โรคและแมลง
ไม่มีโรคและแมลงที่สำคัญ

การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์โดยการปักชำ การตอน และการเพาะเมล็ด

4.5.09

ดอกไม้สดอบแห้ง เมื่อดอกไม้บานข้ามฤดูกาล

ดอกไม้สดอบแห้ง เมื่อดอกไม้บานข้ามฤดูกาล

ดอกไม้ทุกชนิดนำมาอบแห้งได้ จะมียกเว้นก็เพียงอย่างเดียวที่ทำไม่ได้คือ ดอกมะลิ

เรื่อง : อาโป / ภาพ : พรชัย บัวทอง

เคยมีสักครั้งหรือหลายๆ ครั้งไหม ที่คุณนึกอยากเก็บดอกไม้บางดอกซึ่งมีความหมายต่อตัวคุณไว้นานๆ แต่เมื่อเวลาล่วงผ่าน ดอกไม้สวยๆ เหล่านั้นมักร่วงโรยผ่านพ้นไป เหลือเพียงความทรงจำที่อาจเก็บอยู่ในภาพถ่าย หรือในรูปแบบของดอกไม้ทับแห้ง ที่รอเวลากรอบ-โรยราในอีกไม่นาน ดิฉันมักนึกตั้งคำถามนี้กับตัวเองเสมอ พอคิดถึงว่าอยากเก็บดอกไม้ให้อยู่กับเราได้นานมากขึ้น ทำให้ต้องควานหาวิธีการ และผู้ที่จะมาช่วยแนะนำบอกเล่า จนได้พบกับสิ่งที่เรียกว่า ดอกไม้สดอบแห้ง และ คุณแมว - วิไลรัตน์ รัตนสถาพร ผู้เชี่ยวชาญที่ได้ลงทุนลงแรง และหาทางศึกษาการทำดอกไม้สดอบแห่งนี้มานานถึง 10 ปีกว่า อยากบอกว่า เพราะดอกจะเน่า ไม่สวยงาม คุณแมวหรืออาจารย์แมวของลูกศิษย์มากมาย ได้เล่าให้ฟังถึงวิธีการอบแห้งว่า ใช้ซิลิก้าทรายดูดซับความชื้น

โดยแบ่งการอบแห้งเป็น 2 ลักษณะ คือ ดอกไม้ประเภทกล้วยไม้ อบแห้งโดยต้องนำเข้าไมโครเวฟ ขณะที่อีกลักษณะหนึ่งใช้กับดอกไม้หลายๆ ประเภท สามารถอบแห้งโดยไม่ต้องเข้าไมโครเวฟ เมื่อดอกไม้แห้งดีแล้ว จึงนำไปเก็บไว้ในกล่องใส่ซิลิก้าเจล และสามารถเก็บได้นานหลายๆ ปีทีเดียว เพียงแต่ต้องคอยหมั่นตรวจสอบไม่ให้ซิลิก้าเจลมีสีซีด หรือดูดความชื้นจนเสื่อมคุณภาพ ดอกไม้อบแห้งแต่ละดอก สีสันส่วนใหญ่ยังสดใส และมีรูปทรงที่สวยงาม ซึ่งในขั้นตอนการอบแห้งนั้น อาจารย์แมวเน้นว่าจำเป็นต้องรู้จักจัดวางดอกไม้อย่างเบามือ และให้คงรูปทรงเดิมไว้ให้ได้มากที่สุด

เมื่อได้ดอกไม้สดอบแห้งอย่างที่ต้องการแล้ว นำมาจัดช่อใส่ในโหลแก้ว ปิดผนึกอย่างดี เพื่อป้องกันลมเข้า ดอกไม้ช่อพิเศษเหล่านี้สามารถคงความงาม และความหมายให้ได้ชื่นชมไปอีกนานเท่านาน ขณะที่ดอกไม้หลายชนิดผ่านตา และผ่านมือ (ที่จับคีม) ดิฉันอดตื่นเต้นกับความสวยและเส้นเกสรที่ยื่นยาวราวกับเพิ่งบานเมื่อเช้าวันนี้ไม่ได้ และยิ่งน่าตื่นเต้นมากขึ้น เมื่ออาจารย์แมวหยิบดอกชมนาดมาให้ดมใกล้ๆ กลิ่นหอมเหมือนข้าวใหม่ แตะจมูกชวนให้รู้สึกถึงความมหัศจรรย์และความสุขที่ผู้คนช่างค้นหา และเก็บไว้ด้วยไอเดียหลากรูปแบบจริงๆ


การอบแห้ง จัดเรียงดอกไม้แต่ละชนิดในซิลิก้าทราย แล้วค่อยๆ โรยซิลิก้าทรายลงไปให้ท่วมดอกไม้ จากนั้นปิดฝาเก็บไว้ราว 7 - 10 วัน จะได้ดอกไม้สดอบแห้งที่ต้องการ จากนั้นย้ายดอกไม้อย่างเบามือมาไว้ในกล่องใส่ซิลิก้าเจล หากเป็นดอกกล้วยไม้ หลังจากโรยซิลิก้าทรายกลบจนท่วมดอกแล้ว นำเข้าเตาไมโครเวฟ ไฟแรงที่สุดประมาณ 1 นาทีครึ่ง แล้วจึงนำออกมา รอให้เย็น ย้ายดอกกล้วยไม้ไปเก็บในกล่องซิลิก้าเจล


การจัดช่อ การจัดช่อเป็นงานที่ละเอียดอ่อน ช่วยให้เราได้ฝึกสมาธิและรู้จักความประณีตอ่อนโยนมากขึ้น ก่อนนำดอกไม้ออกมาจัด ต้องตระเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม เพื่อให้ดอกไม้คงความสดได้นานๆ ต้องเรียนรู้การจับดอกไม้ด้วยคีมคีบ และใช้พู่กันปัดทรายให้ออกจากกลีบดอก แล้วพันฟลอร่าเทปกับก้านดอกไม้เพื่อช่วยในการจัดช่ออย่างเบามือ เมื่อจัดช่อเสร็จจึงปิดผนึกแก้ว หรือโหลที่เตรียมไว้


ที่มา : นิตยสาร Home & Decor

10.3.09

ต้นไม้ประจำวันเกิด

เธอที่เกิดวันอาทิตย์
ต้นไม้ประจำวันเกิดเป็น ต้นพวกแสด ต้นพุทธรักษา ต้นธรรมรักษา และต้นเยอร์บีร่าที่มีดอกสีส้ม ส่วนดอกไม้ประจำวันเกิดเป็นดอกกุหลาบสีส้ม จะถูกโฉลกกับเธอที่เกิดวันอาทิตย์ผู้มีนิสัยทะเยอทะยานและกระตือรือร้น เธอและดอกไม้มีความหมายถึงความฝันอันยิ่งใหญ่ ดอกไม้อีกชนิดสำหรับผู้เกิดวันนี้คือ ดอกทานตะวัน อันเป็นสัญลักษณ์คู่กับพระอาทิตย์เสมอ บอกถึงตัวเธอที่เชื่อมั่น หัวสูง ถือตัว และหยิ่งในศักดิ์ศรีด้วย

เธอที่เกิดวันจันทร์
ต้นไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ต้นมะลิ ต้นแก้ว ต้นพุด ยิ่งถ้าปลูกแล้วออกดอกหอม เธอจะยิ่งโชคดี ดอกไม้ประจำวันเกิดคือดอกมะลิขาวสะอาด หมายถึงตัวเธอที่มีความนุ่มนวลอ่อนโยน เรียบร้อย ส่วนดอกไม้อีกชนิดคือ ดอกกุหลาบขาว หมายถึงความรักที่อ่อนโยนและไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน เพราะคนเกิดวันจันทร์มักอ่อนไหวง่าย โรแมนติกและช่างฝัน

เธอที่เกิดวันอังคาร
ต้นไม้ที่แสนดีของเธอคือ ต้นชัยพฤกษ์ ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ ต้นยี่โถ ออกดอกสีชมพู ต้นเข็มออกดอกสีชมพู ถ้าต้นไม้ของเธอออกดอกมาก ๆ บอกได้ว่าเธอกำลังมีความสุข ดอกไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ดอกกล้วยไม้ โดยเฉพาะที่ออกดอกสีชมพู เพราะมีความหมายถึงความรักที่ร้อนรุ่ม หวือหวา วูบวาบตามอารมณ์ของคนที่เกิดวันนี้

เธอที่เกิดวันพุธ
ต้นไม้ประจำตัวคนที่เกิดวันพุธนั้นพิเศษกว่าคนอื่นตรงที่เป็นต้นไม้ใบเขียว โดยเฉพาะ ต้นกระดังงา ต้นสนฉัตร ดังนั้นเธอควรปลูกต้นไม้เยอะ ๆ ถึงจะโชคดี ต้นไม้เหล่านั้นจะช่วยปกป้องคุ้มครองเธอได้ คือ ดอกบัว หมายถึงจิตใจอันสงบ เพราะคนที่เกิดวันพุธมักชอบเป็นนักการทูตและรักสันติภาพ ดอกไม้ประจำวันเกิด คือดอกบัว ซึ่งคนที่เกิดวันพุธมักจะเป็นนักคำนวณ (เงิน) สีเหลืองอร่ามราวกับทองของดอกไม้ชนิดนี้หมายถึงรักของเธอต้องมาพร้อมเงิน


เธอที่เกิดวันพฤหัสบดี
เธอที่เกิดวันนี้ มีต้นไม้ประจำตัวคือ ต้นโสน ต้นราชพฤกษ์ และ ต้นบานบุรี หากมีต้นไม้เหล่านี้อยู่ในบ้านจะช่วยคุ้มครองดูแลเธอ ดอกไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ดอกกุหลาบสีเหลือง หมายถึงการเปลี่ยนแปลงในเรื่องความรัก รักซ้อนซ่อนใจ เพราะคนที่เกิดวันนี้เป็นคนรักง่ายหน่ายเร็ว เจ้าชู้เล็ก ๆ ดอกไม้อีกชนิดหนึ่งคือ ดอกคาร์เนชั่นสีชมพู หมายถึงรักของเธอที่อ่อนโยนและอ่อนหวาน เธอที่เกิดวันนี้ จริง ๆ แล้วเป็นคนสุภาพอ่อนโยนและมีอารมณ์ขัน น่ารักเหมือนดอกไม้ของเธอนั่นแหละ

เธอที่เกิดวันศุกร์
ต้นไม้ที่แสนดีของคนที่เกิดวันศุกร์คือ ต้นพยับหมอก ต้นแส ต้นอัญชัน ส่วนดอกไม้เหมาะสำหรับเธอคือ กุหลาบทุกสี เพราะคนที่เกิดวันศุกร์มักเป็นนักรักที่ยิ่งใหญ่ มีเสน่ห์ล้นเหลือ หรือจะเป็นดอกไม้เจ้าเสน่ห์ที่มีความหมายหวานแหววแบบ ดอกไวโอแลต ว่า"ฉันรักเธอแล้ว หากรักฉันก็บอกกันบ้างนะ" คนที่เกิดวันศุกร์บางอารมณ์ก็โลเล จึงได้ ดอกลาเวนเดอร์ที่มีความหมายถึงรักที่สับสน ไม่แน่นอนไปครองอีกดอกหนึ่ง

เธอที่เกิดวันเสาร์
จะมีต้นไม้พวก ต้นกัลปังหา ต้นพวงคราม ต้นอินทนิล เป็นต้นไม้ประจำวันเกิด และดอกไม้ประจำวันเกิดคือ ดอกลิลลี่ อันหมายถึงรักครั้งแรก รักที่บริสุทธิ์ เพราะคนที่เกิดวันเสาร์เป็นคนจริงจังและซีเรียส จึงรักใครยากหน่อย ทว่าดอกลิลลี่เป็นดอกที่กระทบใจคนขี้เหงาวันเสาร์ได้ดีที


ที่มา :lucky-flower.com/

5.3.09

ความรู้เรื่องน้ำผึ้งRaw Organic Honey

ความรู้เรื่องน้ำผึ้งRaw Organic Honey

น้ำผึ้งเป็นอาหารของมนุษย์ยาวนาน และถือเป็นของมีค่าสูงในแต่ละยุค สรรพคุณของน้ำผึ้งเป็นที่รู้จักกันอย่างดีในหลาย ๆ ประเทศ กว่าจะมาเป็นน้ำผึ้ง 1 กิโลกรัมนั้น ผึ้งงานจะต้องเก็บน้ำหวานจากดอกไม้กว่าล้านดอก คุณประโยชน์ของน้ำผึ้งจึงมีมากมากนัก

น้ำผึ้งป่าและน้ำผึ้งเลี้ยงต่างกันอย่างไร
น้ำผึ้งป่าเกิดจากการที่ผึ้งโบยบินไปตามทุ่งน่าป่าดงที่มีดอกไม้ เพื่อดูดน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ต่าง ๆ มาเป็นวัตถุดิบในการผลิตเป็นน้ำผึ้งบริสุทธิ์ ซึ่งกระบวนการผลิตน้ำหวานของดอกไม้นั้น รากของต้นไม้จะดูดสารอาหารจากดินไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของลำต้นและใบ จนกลั่นออกมาเป็นน้ำหวานทางดอก จึงเรียกได้ว่า น้ำผึ้งเป็นยอดของอาหารจากธรรมชาติอันแสนวิเศษ ที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ เพราะมีสารอาหารมากมาย อาทิ น้ำ ฟรุกโทส กลูโคส อีกทั้งยังมีกรดอะมิโน และแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น เหล็ก ทองแดง แมงกานีส โพแทสเซียม และแมกนีเซียม แร่ธาตุในน้ำผึ้งและสีของน้ำผึ้ง จะแตกต่างกันไปตามแหล่งที่มาของพืชพันธุ์ และชนิดของน้ำผึ้ง สีของน้ำผึ้งตั้งแต่สีเหลืองเข้มถึงสีเหลืองอ่อน
ส่วนน้ำผึ้งจากผึ้งเลี้ยง นอกจากน้ำหวานที่ได้จากเกสรดอกไม้แล้ว ผู้เลี้ยงยังต้องเสริมน้ำหวานจากน้ำตาล และเกสรเทียมเมื่อเกิดการขาดแคลน ซึ่งส่งผลไม้แร่ธาตุต่าง ๆ ที่มีอยู่ในน้ำผึ้งเลี้ยงด้อยคุณค่ากว่าน้ำผึ้งที่ได้จากผึ้งที่ได้จากผึ้งป่า ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการเพราะมาจากธรรมชาติแท้ ๆ

น้ำผึ้งป่ามีลักษณะอย่างไร
เมื่อใส่น้ำผึ้งป่าไว้ในขวด แล้วทิ้งไว้สักพัก จะพบว่ามีเกสรดอกไม้ลอยอยู่ด้านบน อันเป็นคุณลักษณะตามธรรมชาติของน้ำผึ้งป่า เนื่องจากผึ้งป่าสามารถดันตัวเองให้ไหลออกจากขวดได้ ด้วยคุณประโยชน์หลากหลายนี้ น้ำผึ้งจึงเป็นสิ่งที่คุณค่าอย่างมากมายสำหรับมนุษย์

น้ำผึ้งที่ไม่ผ่านความร้อน (Raw Orgonic Honey) มีประโยชน์อย่างไร
น้ำผึ้งที่ไม่ผ่านความร้อน จะยังคงคุณของวิตามิน แร่ธาตุ เอนไซน์ และเกสรผึ้ง (Pollen) อย่างไรก็ตาม เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความร้อนชื้นสูง น้ำผึ้งจึงความชื้นสูง โดยเฉพาะในฤดูฝน น้ำผึ้งที่เก็บในช่วงนี้มีความชื้นสูง จึงต้องนำไปอบความร้อน เพื่อไล่ความชื้น แต่น้ำผึ้งเดือน 5 ซึ่งมีความชื้นต่ำสุดในรอบปี จึงเป็นน้ำผึ้งที่คนไทยหลายยุคสมัยถือว่าเป็นน้ำผึ้งคุณภาพสูงสุดของประเทศ และน้ำผึ้งที่เก็บในช่วงนี้ไม่ต้องผ่านกระบวนการอบความร้อน จึงยังคุณค่าตามธรรมชาติ

28.2.09

พวงชมพู

พวงชมพู

ดอกไม้สีชมพูเป็นพวงระย้าดูน่ารัก อ่อนช้อย นั้นคืออีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พวงชมพู เป็นต้นไม้อีกชนิดที่นิยมปลูกเลี้ยงในบ้าน พวงชมพูเป็นไม้เถาเลื้อย โดยอาศัยมือเกาะ ใบเดี่ยวเรียงสลับกัน มีสัณฐานรูปไข่หรือ รูปสามเหลี่ยมปลายแหลม โคนใบเป็นรูปหัวใจ ขอบเรียบเส้นใบเห็นได้ชัด และออกดอกตลอดทั้งปี

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Antigonon Leptopus. Hook & Arn.
ตระกูล : POLYGONACEAE
ชื่อสามัญ : Coral Vine, Mexican Creeper, Chain of love, Confederate
Vine, Corallita, Hearts on a Chain, Honlulu Creeper
Mountan, Rose, Pink Vine.

พวงชมพู เป็นพืชล้มลุก เป็นไม้เถาเลื้อยที่มีขนาดเล็ก มีมือเกาะสำหรับเกาะพันต้นไม้ หรือกิ่งอื่นเพื่อการทรงตัว และสามารเลื้อยพันสิ่งต่าง ๆ ไปได้ไกลประมาณ 40 ฟุต ลำต้นหรือเถาจะเป็นสีน้ำตาลเข้ม ใบเดี่ยว ดอกออกสลับกันไปตามข้อต้นลักษณะใบเป็นรูปไข่ หรือมนรี ค่อนข้างจะเป็นทรงสามเหลี่ยม ปลายใบแปลม โคนใบมน เว้าเป็นรูปหัวใจ ขอบใบจักมนไม่แหลม แผ่นใบเป็นคลื่นไม่เรียบ ใบมีความยาว ประมาณ 7 เซนติเมตร และมีความกว้างประมาณ 7 เซนติเมตร พวงชมพูออกดอกเป็นช่อรวมกันเป็นกลุ่มตามซอกใบ ง่ามกิ่งและปลายยอด ส่วนปลายยอดสุดจะเป็นมือเกาะ ดอกสีชมพูสดใสในกลุ่ม ดอกจะประกอบด้วยช่อดอก เรียบดอกสลับทางติดกันอยู่หนาแน่น ลักษณะรูปร่างของดอกมีทรงคล้ายผอบรูปหัวใจ ดอกมีขนาดเล็ก คือ ประมาณ 1 เซนติเมตร ดอกพวงชมพู อาจจะชูเป็นช่อตั้ง หรืออาจจะห้อยเป็นพวงระย้าลงก็ได้ ช่อดอกจะมีความยาวประมาณ 10 -15 เซนติเมตร พวงชมพูเป็นไม้ที่ออกดอกตลอดปี แต่มักจะมีดอกดกมากในฤดูแล้ง คือ ในช่วงเดือนมีนาคม - เมษายน ของทุกปี

การปลูกพวงชมพู
โดยการนำเอากิ่งที่ได้จากการปักชำมาปลูกลง เนื่องจากกิ่งที่ได้จากการปักชำ จะทำให้ได้ต้นกล้าที่เร็วกว่าการเพาะเมล็ด การปลูกก็ให้ปลูกลงดิน เพราะไม้เถาเลื้อยบางชนิดนั้นไม่เหมาะที่จะปลูกลงกระถางสวย ๆ ได้ ควรปลูกพวงชมพูบริเวณริมกำแพง หรือริมรั้ว หรืออาจจะปลูกเป็นซุ้มประตูหรือทำซุ้มหลังคา กระเช้านั่งเล่นภายในบ้านก็จะดูสวยงาม เพราะเมื่อยามที่พวงชมพูออกดอกบานสะพรั่ง มีดอกห้อยเป็นระย้าลงมา ก็จะทำให้ได้ภาพที่น่าชมมากที่เดียว

พวงชมพูเป็นไม้กลางแจ้งที่มีความต้องการแสงแดดมาก เพราะฉะนั้นควรปลูก พวงชมพูในบริเวณที่มีแสงแดดส่องได้ถึง มีความต้องการน้ำปานกลาง การรดน้ำควรรดน้ำวันละ 1 -2 ครั้ง โดยการรดน้ำแต่ละครั้งจะต้องรดให้ชุ่ม แต่ต้องไม่แฉะมากนัก เพราะหากรดน้ำจนดินแฉะมาก พืชดูดน้ำไม่ใช้ไม่ทัน และอาจทำให้รากพืชเน่าและตายได้ในที่สุด สามารถปลูกไดกับดินทุกประเภท ที่มีความชื้นอยู่พอสมควร ควรให้ปุ๋ยหมัก และปุ๋ยไนโตรเจน เพื่อเสริมให้เจริญงอกงามได้ดียิ่งขึ้น และให้ดอกที่สวยงาม
เรานิยมปลูกพวงชมพูเป็นไม้ประดับ โดยปลูกลงในกระถางตั้งที่มีหลักสำหรับเกาะยึดเลื้อยขึ้น หรือปลูกในกระถางแขนเพื่อให้ห้อยลง หรือปลูกประดับตามริมขอบหน้าต่างและระเบียงก็ดูสวยงามที่เดียว.

20.2.09

มะลิวัลย์

มะลิวัลย์
ดอกไม้ใบบ้านเรามีหลายชนิดทั้งไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ยืนต้น ไม้น้ำ และไม้เลื้อย เราจะขอพูดเกี่ยวกับไม้เลื่อยที่นิยมปลูกในบ้านเรา ไม้เลื้อยในที่นี้ก็มีให้เลือกปลูกอีกนับไม่ถ้วยเหมือนกัน เนื่องจากดูแลรักษาง่าย ในกรณีที่คุณต้องคอยดูแลรักษาง่าย ในกรณีที่คุณต้องคอยดูแลรักษาเขาด้วยนะคะ ส่วนเรื่องของดอกนั้นก็สวยสดงดงามไม่แพ้ไม้ประดับชนิดอื่น ๆ เลยทีเดียว

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Jasminum adenophyllum., Wall
ตระกูล : OLEACEAE
ชื่อสามัญ : Scented stat jasmine, Climbing jasmine.
ชื่ออื่น : มะลิวัน, มะลิป่า

มะลิวัลย์ เป็นดอกไม้ไทยโบราณที่นิยมปลูกกันมาก มีกลิ่นหอมแรงในเวลากลางคืนมากกว่ากลางวัน ออกดอกขาวสะพรั่งทั้งต้น มีถิ่นกำเนิดจากประเทศจีน และประเทศอินเดีย เป็นไม้เถาเลื้อย เนื้อแข็ง ลำต้นหรือเถามีขนาดเล็ก กลม ผิวเกลี้ยง เถาส่วนที่อ่อนเป็นสีเขียว ส่วนเถาแก่มีสีน้ำตาลอ่อน สามารถเลื้อยพันต้นไม้อื่นไปได้ไกล ใบมีลักษณะเป็นคู่เรียงตามข้อต้น ยาวประมาณ 5 เซนติเมตร สีเขียวอมเหลือง รูปมนรีปลายแหลม ขอบใบเรียบ

มะลิวัลย์ ออกดอกเป็นช่อตามข้อของต้น ดอกสีขาวสะอาด ก้านดอกสีน้ำตาลอ่อน ยาวประมาณ 3 เซนติเมตร รูปร่างของดอกคล้ายกับดอกของมะลิลา ช่อหนึ่งจะออกดอกประมาณ 2 -6 ดอก กลีบดอกเรียวยาว โดยปกติแล้ว มะลิวัลย์เป็นพันธุ์ไม้ที่ออกดอกดก เมื่อเวลาออกดอกจึงดูขาว สะพรั่งไปทั้งต้นแลยังส่งกลิ่นหอมแรงไปในระยะไกลอีกด้วย ข้อเด่นของมะลิวัลย์อีกอย่างเห็นจะเป็นเรื่องของดอก เนื่องจากเป็นไม้เลื้อยที่ออกดอกตลอดทั้งปี จึงทำให้เป็นที่นิยมปลูกกันอย่างแพร่หลาย

การปลูกมะลิวัลย์
เราสามารถปลูกในกระถางได้ หากว่าพื้นที่บ้านของท่านไม่เพียงพอที่จะนำมะลิวัลย์ในกระถางลงดิน เพียงแต่ต้องหมั่นตัดกิ่งให้เป็นทรงพุ่ม เพื่อกันไม่ให้มะลิเลื้อยจนดูรกรุงรัง สำหรับบ้านที่มีเนื้อที่พอสมควร สามารถปลุกมะลิวัลย์เป็นไม้เลื้อยริมรั้วได้ เพียงแค่น้ำต้นมะลิวัลย์ลงดิน จากนั้นปล่อยให้เขาเลื้อยตามธรรมชาติ อาจมีการจัดแต่สงบ้างนิดหน่อย เพื่อความสวยงามหรือจะให้เลื้อยบนกำแพงก็ดูสวยดี

การดูแลรักษา
เนื่องจากมะลิวัลย์ เป็นไม้ที่ต้องการแดดจัด ดังนั้นควรปลูกในที่ ๆ มีแสงสว่างตลอดทั้งวัน ซึ่งจะช่วยให้ออกดอกได้ดี ควรรดน้ำแต่พอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป และไม่ควรให้ขาดน้ำอย่างเด็ดขาดมะลิวัลย์สามารถเจริญเติบโตได้ดีกับดินทุกชนิด แต่จะดีที่จุดคงเป็นดินร่วนซุยที่มีส่วนผสมของปุ๋ยหมัก และควรใส่ปุ๋ยไนโตรเจน สัปดาห์ละ 2 ครั้ง จะช่วยให้ดอกสวยสดตลอดปีค่ะ

นับว่าเป็นไม้เลื้อยอีกชนิดหนึ่งที่น่าปลูกไว้ประดับกำแพงบ้านคุณ เนื่องจากดูแลรักษาง่าย ทั้งยังออกดอกสีขาวสะอาดตา ให้คุณได้สดชื่นตลอดทั้งปีอีกด้วย ได้ทราบกันอย่างนี้แล้วบองมองหาที่สำหรับปลูกมะลิที่บ้านคุณดูซิคะ รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ

11.2.09

กัลปพฤกษ์

กัลปพฤกษ์

เป็นไม้ต้นผลัดใบขนาดกลางสูงประมาณ 12 เมตร เปลือกสีเทา เรือนยอดแผ่กว้างทุกส่วนมีขนปกคลุมหนาแน่น ใบเป็นประเภทในประกอบมีใบย่อย 5-7 คู่ ใบย่อยรูปขอบขนาน มีขนอ่อนทั้งหน้าและหลังใบ
ดอกสีชมพูเข้มออกเป็นช่อ ตามกิ่งแล้วเปลี่ยนเป็นสีขาว จะออกดอกหลังการผลัดใบพร้อมผลิใบใหม่ ผลเป็นฝักเมื่อฝักแก่จะออกสีน้ำตาลเข้ม ฝักยาวประมาณ 30-40 เซนติเมตร มีเมล็ดอยู่ประมาณ 30-40 เมล็ดต่อฝัก

ออกดอกเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน ชอบขึ้นตามป่าเขาหินปูน และป่าเบญจพรรณแล้งทั่วไป เป็นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย

ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด

กาฬพฤกษ์

กาฬพฤกษ์

เป็นต้นไม้ผลิดใบสูงประมาณ 20 เมตร โคนต้นมีพูพอน เรือนยอดเป็นพุ่มกลม เปลือกสีดำแตกเป็นร่องลึก ใบเป็นประเภทใบประกอบ จำนวน 10-20 คู่ ใบออ่นจะออกสีแดง ผิวใบเกลี้ยงเป็นมัน หลังใบมีขนนุ่ม โคนและปลายใบมนกลม

ออกดอกเป็นช่อตามกิ่งข้าง ช่อหนึ่งมีประมาณ 20 ดอก ดอกมีขนาดเล็ก กลีบรองดอกกลมมีขน ขณะที่ดอกบานกลีบจะกระดกกลับ กลีบดอกรูปไข่ เมื่อดอกบานใหม่ ๆ จะเป็นสีแดง จากนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูและสีส้ม เกสรตัวผู้มี 10 อัน ขนาดไม่เท่ากัน ฝักแข็ง กลม ผิวขรุขระสีดำ ยาวประมาณ 30 เซนติเมตร กว้างประมาณ 3 เซนติเมตร มีเมล็ดอยู่ประมาณ 30 เมล็ด ออกดอกเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม
ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด

9.2.09

ดอนย่า ความงามและคุณค่าสำหรับสามัญชน

ดอนย่า ความงามและคุณค่าสำหรับสามัญชน

มีไม้ดอกบางชนิดที่ผู้เขียนได้พบเห็นตั้งแต่ยังเด็ก คล้ายกับเป็นไม้ดอกที่คุ้นเคย เพราะได้พบเห็นอยู่บ่อย ๆ แต่ก็คล้ายกับห่างไกล เพราะไม่เคยนำมาปลูกเอาไว้เองเลยจนถึงปัจจุบัน รวมถึงชื่อและรูปทรงของต้น ตลอดจนดอกก็มีความแปลกเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ความงามไม่ฉูดฉาดแต่มีเสน่ห์ติดตรึงใจจนได้รับการยกย่องเป็นอย่างสูงในบางประเทศ รวมทั้งในประเทศไทย ไม้ดอกชนิดนี้ก็คือ ดอนย่า

ดอนย่า : ดอกไม้งามนามแปลกจากต่างแดน

ดอนย่าที่นิยมปลูกเป็นไม้ดอกในปัจจุบันมี 2 ชนิด คือ Massaenda erythophylla Schum & Thoun. และ Massaenda philippica A. Rich. อยู่ในวงศ์ Rubiaceae เช่นเดียวกับคัดเค้า และพุดซ้อน เป็นไม้พุ่มภาคกลางสูงราว 2 เมตร แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มแผ่ขยายมาก

ใบ รูปร่างมนปลายแหลม กว้างราว 4 เซนติเมตร ยาว 6 – 8 เซนติเมตร ผิวใบมักมีขนอ่อนปกคลุม ใบค่อนข้างดกทึบ

ดอก มีขนาดเล็กสีเหลือง สำหรับกลีบดอก ขนาดใหญ่ที่เห็นเป็นสีต่าง ๆ นั้น แท้จริงเป็นใบที่เปลี่ยนรูปเป็นคล้ายกลีบดอก เช่นเดียวกับเฟื่องฟ้า ลักษณะดอกของดอนย่าเป็นช่อออกเต็มต้น

ดอนย่าดอกสีแดง มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Dona Trining เป็นชนิด Massaenda erythoplylla Schum & Thoun มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา

ดอนย่าดอกสีขาว มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Dona Aurora เป็นชนิด Massaenda philippica A. Rich. มีถิ่นกำเนิดในฟิลิปปินส์

ดอนย่าดอกสีชมพู มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Dona Luz เป็นชนิด Massaenda Hybrid คือเป็นลูกผสมระหว่าง Dona Trining และ Dona Aurora ในประเทศไทยเรียกดินย่าดอกสีชมพูนี้ว่า ดอนย่าแม็กไซไซ

ดอนย่าเป็นดอกซึ่งเป็นที่นิยมอย่างสูงในประเทศฟิลิปปินส์ และเป็นไม้ดอกที่ขอพระราชทานพระนามสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ของไทยไปเป็นชื่อของดอนย่า ที่ผสมขึ้นใหม่พันธุ์หนึ่งซึ่งมีความงดงามมาก กลีบดอกซ้อนสีชมพูอ่อนเกือบเป็นสีขาว มีขลิบสีแดงตามขอบนอกของกลีบดอก ดอนย่าพันธุ์นี้ได้รับพระราชทานชื่อว่า “ควีนสิริกิตต์ (Queen Sirikit) มีชื่อเสียงไปทั่วโลก

มีดอกไม้เพียง 3 ชนิดเท่านั้นในปัจจุบันที่ได้รับพระราชทานว่า “Queen Sirikit ”
นอกจากดอนย่าแล้วก็มีกุหลาบ และกล้วยไม้แคทลียา เท่านั้น

ดอนย่าจึงนับเป็นดอกไม้ที่ได้รับเกียรติเป็นอย่างสูงในหมู่ชาวไทย ซึ่งยกย่องและชื่นชมในพระสิริโฉม ของสมเด็จพระบรมราชินีนาถของตนยิ่งกว่าชนชาติใด การที่สามัญชนคนไทยมีโอกาสเท่าเทียมกันในการปลูกดอนย่าพันธุ์ “Queen Sirikit ” เอาไว้ในบริเวณบ้าน ซึ่งได้ทั้งความงาม และคุณค่าแห่งพระนาม “แม้แห่งชาติ” ไปพร้อม ๆ กัน
ดอกย่า
ความงามและคุณค่าสำหรับสามัญชน

มีไม้ดอกบางชนิดที่ผู้เขียนได้พบเห็นตั้งแต่ยังเด็ก คล้ายกับเป็นไม้ดอกที่คุ้นเคย เพราะได้พบเห็นอยู่บ่อย ๆ แต่ก็คล้ายกับห่างไกล เพราะไม่เคยนำมาปลูกเอาไว้เองเลยจนถึงปัจจุบัน รวมถึงชื่อและรูปทรงของต้น ตลอดจนดอกก็มีความแปลกเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ความงามไม่ฉูดฉาดแต่มีเสน่ห์ติดตรึงใจจนได้รับการยกย่องเป็นอย่างสูงในบางประเทศ รวมทั้งในประเทศไทย ไม้ดอกชนิดนี้ก็คือ ดอนย่า

ดอนย่า : ดอกไม้งามนามแปลกจากต่างแดน

ดอนย่าที่นิยมปลูกเป็นไม้ดอกในปัจจุบันมี 2 ชนิด คือ Massaenda erythophylla Schum & Thoun. และ Massaenda philippica A. Rich. อยู่ในวงศ์ Rubiaceae เช่นเดียวกับคัดเค้า และพุดซ้อน เป็นไม้พุ่มภาคกลางสูงราว 2 เมตร แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มแผ่ขยายมาก

ใบ รูปร่างมนปลายแหลม กว้างราว 4 เซนติเมตร ยาว 6 – 8 เซนติเมตร ผิวใบมักมีขนอ่อนปกคลุม ใบค่อนข้างดกทึบ

ดอก มีขนาดเล็กสีเหลือง สำหรับกลีบดอก ขนาดใหญ่ที่เห็นเป็นสีต่าง ๆ นั้น แท้จริงเป็นใบที่เปลี่ยนรูปเป็นคล้ายกลีบดอก เช่นเดียวกับเฟื่องฟ้า ลักษณะดอกของดอนย่าเป็นช่อออกเต็มต้น

ดอนย่าดอกสีแดง มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Dona Trining เป็นชนิด Massaenda erythoplylla Schum & Thoun มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา

ดอนย่าดอกสีขาว มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Dona Aurora เป็นชนิด Massaenda philippica A. Rich. มีถิ่นกำเนิดในฟิลิปปินส์

ดอนย่าดอกสีชมพู มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Dona Luz เป็นชนิด Massaenda Hybrid คือเป็นลูกผสมระหว่าง Dona Trining และ Dona Aurora ในประเทศไทยเรียกดินย่าดอกสีชมพูนี้ว่า ดอนย่าแม็กไซไซ

ดอนย่าเป็นดอกซึ่งเป็นที่นิยมอย่างสูงในประเทศฟิลิปปินส์ และเป็นไม้ดอกที่ขอพระราชทานพระนามสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ของไทยไปเป็นชื่อของดอนย่า ที่ผสมขึ้นใหม่พันธุ์หนึ่งซึ่งมีความงดงามมาก กลีบดอกซ้อนสีชมพูอ่อนเกือบเป็นสีขาว มีขลิบสีแดงตามขอบนอกของกลีบดอก ดอนย่าพันธุ์นี้ได้รับพระราชทานชื่อว่า “ควีนสิริกิตต์ (Queen Sirikit) มีชื่อเสียงไปทั่วโลก

มีดอกไม้เพียง 3 ชนิดเท่านั้นในปัจจุบันที่ได้รับพระราชทานว่า “Queen Sirikit ”
นอกจากดอนย่าแล้วก็มีกุหลาบ และกล้วยไม้แคทลียา เท่านั้น

ดอนย่าจึงนับเป็นดอกไม้ที่ได้รับเกียรติเป็นอย่างสูงในหมู่ชาวไทย ซึ่งยกย่องและชื่นชมในพระสิริโฉม ของสมเด็จพระบรมราชินีนาถของตนยิ่งกว่าชนชาติใด การที่สามัญชนคนไทยมีโอกาสเท่าเทียมกันในการปลูกดอนย่าพันธุ์ “Queen Sirikit ” เอาไว้ในบริเวณบ้าน ซึ่งได้ทั้งความงาม และคุณค่าแห่งพระนาม “แม้แห่งชาติ” ไปพร้อม ๆ กัน
ดอกย่า
ความงามและคุณค่าสำหรับสามัญชน

มีไม้ดอกบางชนิดที่ผู้เขียนได้พบเห็นตั้งแต่ยังเด็ก คล้ายกับเป็นไม้ดอกที่คุ้นเคย เพราะได้พบเห็นอยู่บ่อย ๆ แต่ก็คล้ายกับห่างไกล เพราะไม่เคยนำมาปลูกเอาไว้เองเลยจนถึงปัจจุบัน รวมถึงชื่อและรูปทรงของต้น ตลอดจนดอกก็มีความแปลกเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ความงามไม่ฉูดฉาดแต่มีเสน่ห์ติดตรึงใจจนได้รับการยกย่องเป็นอย่างสูงในบางประเทศ รวมทั้งในประเทศไทย ไม้ดอกชนิดนี้ก็คือ ดอนย่า

ดอนย่า : ดอกไม้งามนามแปลกจากต่างแดน

ดอนย่าที่นิยมปลูกเป็นไม้ดอกในปัจจุบันมี 2 ชนิด คือ Massaenda erythophylla Schum & Thoun. และ Massaenda philippica A. Rich. อยู่ในวงศ์ Rubiaceae เช่นเดียวกับคัดเค้า และพุดซ้อน เป็นไม้พุ่มภาคกลางสูงราว 2 เมตร แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มแผ่ขยายมาก

ใบ รูปร่างมนปลายแหลม กว้างราว 4 เซนติเมตร ยาว 6 – 8 เซนติเมตร ผิวใบมักมีขนอ่อนปกคลุม ใบค่อนข้างดกทึบ

ดอก มีขนาดเล็กสีเหลือง สำหรับกลีบดอก ขนาดใหญ่ที่เห็นเป็นสีต่าง ๆ นั้น แท้จริงเป็นใบที่เปลี่ยนรูปเป็นคล้ายกลีบดอก เช่นเดียวกับเฟื่องฟ้า ลักษณะดอกของดอนย่าเป็นช่อออกเต็มต้น

ดอนย่าดอกสีแดง มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Dona Trining เป็นชนิด Massaenda erythoplylla Schum & Thoun มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา

ดอนย่าดอกสีขาว มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Dona Aurora เป็นชนิด Massaenda philippica A. Rich. มีถิ่นกำเนิดในฟิลิปปินส์

ดอนย่าดอกสีชมพู มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Dona Luz เป็นชนิด Massaenda Hybrid คือเป็นลูกผสมระหว่าง Dona Trining และ Dona Aurora ในประเทศไทยเรียกดินย่าดอกสีชมพูนี้ว่า ดอนย่าแม็กไซไซ

ดอนย่าเป็นดอกซึ่งเป็นที่นิยมอย่างสูงในประเทศฟิลิปปินส์ และเป็นไม้ดอกที่ขอพระราชทานพระนามสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ของไทยไปเป็นชื่อของดอนย่า ที่ผสมขึ้นใหม่พันธุ์หนึ่งซึ่งมีความงดงามมาก กลีบดอกซ้อนสีชมพูอ่อนเกือบเป็นสีขาว มีขลิบสีแดงตามขอบนอกของกลีบดอก ดอนย่าพันธุ์นี้ได้รับพระราชทานชื่อว่า “ควีนสิริกิตต์ (Queen Sirikit) มีชื่อเสียงไปทั่วโลก

มีดอกไม้เพียง 3 ชนิดเท่านั้นในปัจจุบันที่ได้รับพระราชทานว่า “Queen Sirikit ”
นอกจากดอนย่าแล้วก็มีกุหลาบ และกล้วยไม้แคทลียา เท่านั้น

ดอนย่าจึงนับเป็นดอกไม้ที่ได้รับเกียรติเป็นอย่างสูงในหมู่ชาวไทย ซึ่งยกย่องและชื่นชมในพระสิริโฉม ของสมเด็จพระบรมราชินีนาถของตนยิ่งกว่าชนชาติใด การที่สามัญชนคนไทยมีโอกาสเท่าเทียมกันในการปลูกดอนย่าพันธุ์ “Queen Sirikit ” เอาไว้ในบริเวณบ้าน ซึ่งได้ทั้งความงาม และคุณค่าแห่งพระนาม “แม้แห่งชาติ” ไปพร้อม ๆ กัน
ดอกย่า
ความงามและคุณค่าสำหรับสามัญชน

มีไม้ดอกบางชนิดที่ผู้เขียนได้พบเห็นตั้งแต่ยังเด็ก คล้ายกับเป็นไม้ดอกที่คุ้นเคย เพราะได้พบเห็นอยู่บ่อย ๆ แต่ก็คล้ายกับห่างไกล เพราะไม่เคยนำมาปลูกเอาไว้เองเลยจนถึงปัจจุบัน รวมถึงชื่อและรูปทรงของต้น ตลอดจนดอกก็มีความแปลกเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ความงามไม่ฉูดฉาดแต่มีเสน่ห์ติดตรึงใจจนได้รับการยกย่องเป็นอย่างสูงในบางประเทศ รวมทั้งในประเทศไทย ไม้ดอกชนิดนี้ก็คือ ดอนย่า

ดอนย่า : ดอกไม้งามนามแปลกจากต่างแดน

ดอนย่าที่นิยมปลูกเป็นไม้ดอกในปัจจุบันมี 2 ชนิด คือ Massaenda erythophylla Schum & Thoun. และ Massaenda philippica A. Rich. อยู่ในวงศ์ Rubiaceae เช่นเดียวกับคัดเค้า และพุดซ้อน เป็นไม้พุ่มภาคกลางสูงราว 2 เมตร แตกกิ่งก้านสาขาเป็นพุ่มแผ่ขยายมาก

ใบ รูปร่างมนปลายแหลม กว้างราว 4 เซนติเมตร ยาว 6 – 8 เซนติเมตร ผิวใบมักมีขนอ่อนปกคลุม ใบค่อนข้างดกทึบ

ดอก มีขนาดเล็กสีเหลือง สำหรับกลีบดอก ขนาดใหญ่ที่เห็นเป็นสีต่าง ๆ นั้น แท้จริงเป็นใบที่เปลี่ยนรูปเป็นคล้ายกลีบดอก เช่นเดียวกับเฟื่องฟ้า ลักษณะดอกของดอนย่าเป็นช่อออกเต็มต้น

ดอนย่าดอกสีแดง มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Dona Trining เป็นชนิด Massaenda erythoplylla Schum & Thoun มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา

ดอนย่าดอกสีขาว มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Dona Aurora เป็นชนิด Massaenda philippica A. Rich. มีถิ่นกำเนิดในฟิลิปปินส์

ดอนย่าดอกสีชมพู มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Dona Luz เป็นชนิด Massaenda Hybrid คือเป็นลูกผสมระหว่าง Dona Trining และ Dona Aurora ในประเทศไทยเรียกดินย่าดอกสีชมพูนี้ว่า ดอนย่าแม็กไซไซ

ดอนย่าเป็นดอกซึ่งเป็นที่นิยมอย่างสูงในประเทศฟิลิปปินส์ และเป็นไม้ดอกที่ขอพระราชทานพระนามสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ของไทยไปเป็นชื่อของดอนย่า ที่ผสมขึ้นใหม่พันธุ์หนึ่งซึ่งมีความงดงามมาก กลีบดอกซ้อนสีชมพูอ่อนเกือบเป็นสีขาว มีขลิบสีแดงตามขอบนอกของกลีบดอก ดอนย่าพันธุ์นี้ได้รับพระราชทานชื่อว่า “ควีนสิริกิตต์ (Queen Sirikit) มีชื่อเสียงไปทั่วโลก

มีดอกไม้เพียง 3 ชนิดเท่านั้นในปัจจุบันที่ได้รับพระราชทานว่า “Queen Sirikit ”
นอกจากดอนย่าแล้วก็มีกุหลาบ และกล้วยไม้แคทลียา เท่านั้น

ดอนย่าจึงนับเป็นดอกไม้ที่ได้รับเกียรติเป็นอย่างสูงในหมู่ชาวไทย ซึ่งยกย่องและชื่นชมในพระสิริโฉม ของสมเด็จพระบรมราชินีนาถของตนยิ่งกว่าชนชาติใด การที่สามัญชนคนไทยมีโอกาสเท่าเทียมกันในการปลูกดอนย่าพันธุ์ “Queen Sirikit ” เอาไว้ในบริเวณบ้าน ซึ่งได้ทั้งความงาม และคุณค่าแห่งพระนาม “แม้แห่งชาติ” ไปพร้อม ๆ กัน

29.1.09

สายน้ำผึ้งจากความหอมของไม้ดอกสู่ความหวานของไม้ผล

สายน้ำผึ้งจากความหอมของไม้ดอก
สู่ความหวานของไม้ผล

ช่วงปลายปีต่อต้นปี คือ ระหว่างเดือนธันวาคม ถึง เดือนกุมภาพันธ์ อันถือเป็นปีใหม่ของชาวจีน เป็นฤดูของส้มเขียวหวานที่มีมากทั้งปริมาณและคุณภาพ โดยเฉพาะส้มเขียวหวานพันธุ์ใหม่ ๆ ที่คนไทยนิยมกินกันในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เช่น ส้มพันธุ์สายน้ำผึ้ง ซึ่งช่วงแรก ๆ มีราคาแพงมากจนปัจจุบันมีราคาเดียวกันกับส้มเขียวหวานพันธุ์ดั้งเดิมแล้ว

ส้มพันธุ์สายน้ำผึ้งมีสีสันและรสชาติเข้มข้นกว่าส้มเขียวหวานพันธุ์ดั้งเดิม ที่เรียกกันส้มบางมด ความจริงส้มพันธุ์สายน้ำผึ้งเป็นพันธุ์ส้มที่นำเข้ามาจากต่างประเทศและตั้งชื่อเป็นภาษาไทย เช่นเดียวกับไม้ดอกชนิดหนึ่งซึ่งนำเข้ามาจากต่างประเทศแล้วตั้งชื่อว่า ต้นสายผึ้งเหมือนกัน

สายน้ำผึ้ง : ไม้ดอกจากต่างแดน

สายน้ำผึ้งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lonicera japonica Thunb. อยู่ในวงศ์ Caprifoliaceae เป็นไม้เลื้อยยืนต้น

ลำต้น เป็นเถาแข็งยาวราว 5 – 8 เมตร ลำต้นและกิ่งอ่อนมีขนนุ่มปกคลุม กิ่งแก่เปลือกเป็นสีน้ำตาลเกลี้ยง

ใบ เป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามกันเป็นคู่ ๆ ตามข้อของลำต้น ใบเป็นรูปไข่ขอบขนานโคนใบมน ปลายแหลม ขอบใบเรียบท้องใบสีอ่อน หน้าใบสีเขียวเข้มเรียบเป็นมัน แผ่นใบค่อนข้างหนาและแข็ง กว้างราว 2.5 ซม. ยาวราว 5 ซม.

ดอก ออกตามปลายกิ่งหรือซอกใบ ออกเป็นช่อ ๆ ช่อละประมาณ 15 ดอก ก้านช่อดอกสั้น โคนดอกของแต่ละดอกมีใบประดับ 1 คู่ กลีบดอกติดกันเป็นท่อยาวราว 5 ซม. ปลายดอกเป็นกลีบแยกออกจากกัน ด้านบนติดกันเป็น 4 กลีบ ด้านล่างแยกออกมา 1 กลีบ มีเกสรตัวผู้เป็นเส้นยื่นออกมากลางดอก 5 เส้น มีเกสรตัวเมีย 1 อัน กลีบดอกตูมและเมื่อเริ่มบานมีสีขาว จากนั้น 2 – 3 วัน เปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อนและเหลืองเข้ม มีกลิ่นหอมเย็นและกลิ่นแรงขึ้นในเวลากลางคืน สายน้ำผึ้งออกดอกได้ตลอดปี ผลสุกมีสีดำ

สายน้ำผึ้งมีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในเขตอบอุ่นของทวีปเอเชียตะวันออก เช่นในญี่ปุ่น จึงมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Japanese Honey suckle สันนิฐานว่าคงมีผู้นำเข้ามาปลูกในประเทศไทยไม่เกิน 100 ปีมานี้เอง และชื่อสายน้ำผึ้งคงมาจากชื่อภาษาอังกฤษที่มีคำว่า Honey อยู่ด้วย

สายน้ำผึ้งนิยมปลูกเป็นไม้ประดับให้ขึ้นต้นไม้รั้วหรือเลื้อยไปตามพื้นดิน เหมาะสำหรับพื้นดินที่ระบายน้ำได้ดี ขยายพันธุ์ได้ทั้งการเพาะเมล็ด ตอนกิ่งและปักชำ

สายน้ำผึ้ง มีสรรพคุณทางสมุนไพรด้วยเช่น

เถาสด แก้บิด ท้องเสีย ถ่ายเป็นเลือด แผลเปื่อย ปวดเมื่อยตามข้อ ขับปัสสาวะ ลดไข้ แก้ไข้หวัด

ดอกตูม แก้ลำไส้อักเสบ ท้องเสีย

9.1.09

ผักบุ้งฝรั่ง ความงามสาธารณะสำหรับผู้ยากไร้

ผักบุ้งฝรั่ง ความงามสาธารณะสำหรับผู้ยากไร้

หลายเดือนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปร่วมงานประชุมระดับภูมิภาคประเทศอินเดีย ระหว่างการประชุมผมถือโอกาสเดินทางไปเยี่ยมชมหมู่บ้านของชาวอินเดีย 2 -3 แห่ง พบว่าโดยทั่วไปแล้วมีสภาพภูมิประเทศที่แห้งแล้ง และมีฐานะยากจนกว่าชาวไทยแถบตะวันออกเฉียงเหนือเป็นอย่างมาก

ชาวอินเดียในหมู่บ้านแห่งหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ช่วงที่มีอาชีพรับจ้างทำงานในเมืองนั้น มีรายได้พอสำหรับอาหารวันละหนึ่งมื้อเท่านั้น ต้องทำงานหนัก และกินอาหารเพียงหนึ่งครั้งต่อวันอยู่นานหลายปี ก่อนที่จะผันตัวเองออกมาทำงานด้านเกษตรกรรมยั่งยืนแบบพื้นบาน จนปัจจุบันมีรายได้เพียงพอที่จะซื้ออาหารกินวันละ 3 มื้อ และยังเหลือเก็บไว้ซื้อที่ดิน ทำฟาร์มปศุสัตว์ และสร้างบ้านได้อีกด้วย

กลับกันเกษตรกรรมแบบแผ่นใหม่ ซึ่งเป็นเกษตรกรรมเชิงเดี่ยว พึ่งสารเคมี กลับมีความเป็นอยู่ที่แร้นแค้นลำบากยากจนอย่างยิ่ง

ท่ามกลางความลำบากยากจนของชาวอินเดีย และความแห้งแล้งกันดารของภูมิประเทศดังที่กล่าวมาข้างต้น ผมก็ยังพบความงดงามที่ทำให้ชื่นใจอยู่บ้างคือ บริเวณที่ลุ่ม ซึ่งเคยมีน้ำขังอยู่เมื่อฤดูฝนมาเยือน ปรากฏพืชชนิดหนึ่งนี้ออกดอกสะพรั่งงดงาม เป็นความโดดเด่นตัดกับสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบด้าน

พันธุ์ไม้ดังกล่าวจำได้ว่า เคยพบเห็นอยู่ในชนบทของจังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อประมาณ 50 ปีมาแล้ว เพราะบางบ้านและบางวัดนำมาปลูกไว้ดูดอก เนื่องจากเป็นพันธุ์ไม้แปลกที่มาจากต่างถิ่น แม้ปัจจุบันจะหาดูไม่ได้แล้ว แต่ผมก็ยังจำได้ถึงชื่อที่เคยเรียกขานนามว่าผักบุ้งฝรั่ง

ผักบุ้งฝรั่ง : ความงามสาธารณะจากต่างแดน

ผักบุ้งฝรั่งมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Ipomoea purpures (L.) Roth อยู่ในวงศ์ Convolvulaceae เป็นไม้พุ่มยืนต้น สูงราว 180 – 240 เซนติเมตร (1.8 – 2.4 เมตร) แตกกิ่งก้านสาขาค่อนข้างมาก ลำต้นมีเปลือกสีเขียว

ใบ เป็นใบเดี่ยวรูปร่างคล้ายใบผักบุ้ง แต่ขนาดใหญ่กว่า ก้านใบยาว ใบมีสีเขียวเข้ม และมีขนอ่อนปกคลุม

ดอก ออกเป็นช่อ ตามยอดหรือปลายกิ่ง แต่ละช่อมีดอกราว 10 -20 ดอก โดยจะทยอยบานครั้งละ 2 – 4 ดอก ต่อเนื่องกันไป ดอกมีสีม่วงอ่อนหรือสีชมพูจาง ๆ ลักษณะคล้ายดอกผักบุ้ง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 - 7 ซม. ออกดอกตลอดทั้งปี

ผักบุ้งฝรั่งชอบแดดจัด ขึ้นได้กับดินทุกชนิด ชอบความชื้นสูงหรือที่เปียก ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำหรือเพาะเมล็ด

ถิ่นกำเนิดดั้งเดิมของผักบุ้งฝรั่งอยู่ในทวีปอเมริกาบริเวณประเทศเม็กซิโกและเปรู ผักบุ้งฝรั่งในไทยนั้นเชื่อว่ามาจากประเทศอินเดียอีกทอดหนึ่ง ไม่ได้นำมาจากแหล่งกำเนิดโดยตรง น่าจะเข้ามาในประเทศไทยไม่เกิน 100 ปีที่ผ่านมานี้

ชื่อภาษาอังกฤษของผักบุ้งฝรั่งคือ Bush Morning Glory (มอร์นิ่งกลอรี่) ภาษาไทยเรียกผักบุ้งฝรั่ง ผักบุ้งพุ่ม ผักบุ้งรั้ว และผักบุ้งบก

ประโยชน์ของผักบุ้งฝรั่ง

ผักบุ้งฝรั่งเคยเป็นไม้ประดับของคนไทยเมื่อราว 50 ปีที่แล้ว พบปลูกทั่วไปตามบ้านเรือนและวัด ปัจจุบันความนิยมลดน้อยลงมาก แต่ยังพอหาพันธุ์มาปลูกได้ไม่ยาก เนื่องจากผักบุ้งฝรั่งเป็นไม้ยืนต้น ออกดอกตลอดปี ทั้งยังทนทานปลูกง่าย เมื่อออกดอกเต็มต้นแล้วจะมีความงดงามไม่ด้อยไปกว่าไม้ดอกชนิดอื่น ๆ จึงน่าจะหามาปลูกเอาไว้บ้าง เพราะแม้จะไม่ใช่ผู้ยากไร้ก็ชื่นชมผักบุ้งฝรั่งได้เช่นกัน